bc

อุ่นไอรักจากดวงตะวัน

book_age16+
962
FOLLOW
9.8K
READ
others
drama
comedy
sweet
first love
like
intro-logo
Blurb

ชายหนุ่มค่อย ๆ แนบแก้มลงกับกลุ่มผมนุ่มพลางกระซิบบอกเธอด้วยน้ำเสียงอบอุ่นห่วงใย “ฉันสัญญา ฉันจะดูแลเธออย่างดี โปรดเชื่อใจอีกสักครั้งหนึ่งได้มั้ย”

เด็กสาวกรอกตาไปมาอย่างลังเล ด้วยสุ้มเสียงอบอุ่นและแฝงห่วงใยนั้นทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจเป็นที่สุด แต่ในความเป็นจริงมันสายไปแล้ว...ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังจะจบและเธอก็พร้อมที่จะทำให้มันจบ ติณณ์ไม่ควรต้องมารับภาระดูแลเธออีก เธอต่างหากที่ควรจะปล่อยให้เขาไปมีชีวิตของเขาเอง เขามีทิพรดาที่ต้องดูแล เธอไม่อาจจะอยู่จนถึงวันนั้น วันที่เขาแต่งงานกับทิพรดา

ว่าแล้วเด็กสาวเองก็ค่อย ๆ ยันตัวออกจากอกกว้างและสบตาเขาอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก นี่จะเป็นโอกาสครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เธอจะสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกเช่นนี้ได้

“พะ...”

เขาหลุบสายตาลงมองริมฝีปากที่ขยับคล้ายจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมา ชายหนุ่มพยายามเอียงหูฟังว่าเธออยากจะพูดว่าอะไร

“พะ...พี่ติณณ์”

ถ้อยคำที่เอ่ยเพียงสั้น ๆ แต่ทว่าสำหรับคนฟังกลับรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา เขารู้สึกเต็มตื้นไปทั้งหัวใจ ‘พี่ติณณ์’ คำนี้เป็นเพียงคำเดียวที่ตะวันเคยเรียกเขาว่า ‘พี่’ ก่อนที่ความไม่เข้าใจระหว่างเขากับเธอจะเกิดขึ้น แล้วตอนนี้เธอเข้าใจเขาดีแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ เธอจึงเรียกเขาเช่นนี้...

ชายหนุ่มค่อย ๆ ช้อนใบหน้าของเธอขึ้นมามองอย่างเต็มตื้นและอิ่มเอมใจ แล้วค่อยมองให้ถนัด หูเขาไม่ได้ฝาดไปใช่ไหม เธอเรียกเขาว่า ‘พี่ติณณ์’ แสดงว่าปราการน้ำแข็งในหัวใจของเธอพังทลายลงแล้วหรือ ...

chap-preview
Free preview
ตอนที่ 1 - 1
กรุณานำส่ง   นางสาวเพียงตะวัน พัฒนกุล หอพักสตรี2  ร.ร. ดรุณีวิทยาลัย   ถึงคนที่เป็นเจ้าของจดหมายฉบับนี้ ..ถ้าจำไม่ผิด เธอได้รับจดหมายของฉันมาแล้วสี่ครั้ง ด้วยเหตุผลของจดหมายฉบับที่ห้า ...ฉันอยากรู้ว่า ทำไมเธอถึงไม่ทำตาม คำสั่งทั้งสี่ครั้งที่ผ่าน...ถ้าเธออยากจะตอบโต้ หรือประท้วงฉัน ก็ขอให้ใช่วิธีอื่น ไม่ใช้วิธีเด็ก ๆ อย่างที่ทำแบบนี้ ..วันนี้ฉันหวังว่าจะได้รับคำอธิบายของเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของเธอ . และหากเธอจะมีเหตุผลมาอธิบาย กรุณาอย่าเขียนจดหมายโต้ตอบ ฉันมีวิธีที่ดีกว่านั้น ที่เธอจะได้ชี้แจงถึงพฤติกรรมที่ผ่านมาของเธอในโรงเรียน…วันนี้เลิกเรียน 5 โมงเย็น ฉันจะให้คนมารับ กรุณาตรงเวลา                                                                        ติณณ์ ...ลมหายใจอันกลัดกลุ้มถูกระบายออกมาจากจมูกโด่งที่ปลายจมูกเชิดขึ้น บ่งบอกถึงนิสัยเจ้าของมันว่า 'รั้น' ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่นิ้วเรียวจะค่อย ๆ พับจดหมายฉบับนี้เอาไว้ในซองตามเดิม ริมฝีปากบางเม้มเข้าด้วยกันน้อย ๆ อย่างขบคิด            ที่จริงไม่จำเป็นต้องเขียนจดหมายแล้วให้คนมาส่งแบบนี้ก็ได้ ด้วย'อำนาจ' และ 'สิทธิ์’ ที่มีของเขา สามารถให้คนมาลากตัวเธอไปพบเขาได้เลย ในความรู้สึกลึก ๆ ที่เธอรับรู้ จากจดหมายทั้งสี่ฉบับที่ผ่านมาของ ‘เขา’ มันไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกริ่งเกรงเลยสักนิด หากแต่จะเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์อย่างดีให้เขาเอง หากเธอไม่ทำตาม           ขณะที่เด็กสาวกำลังนึกไปถึงเจ้าของจดหมายที่เพิ่งให้ม้าเร็วของเขานำมาส่งให้เธอถึงที่นี่นั้น ฉับพลันประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ร่างท้วมของสตรีที่อยู่ในชุดฟอร์มนักเรียนก็ปราดเข้ามา           “จดหมาย... ของใครเหรอ ตะวัน”            เพียงตะวันยกจดหมายที่มินตราถามถึงขึ้นมาดูอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนลิ้นชักออก นำจดหมายฉบับนี้เข้าไปเก็บรวมไว้กับจดหมายอีกสี่ฉบับ แล้วหันไปตอบคำถามของเพื่อนอย่างเซ็ง ๆ           “ของคุณติณณ์”            “อีกแล้วเหรอ” มินตราอุทานเสียงสูงอย่างตกใจ            “อื่ม...เป็นจดหมายฉบับที่ห้าในรอบสองสัปดาห์ที่ผ่านมา”            “ฮื่อ…แล้วฉบับนี้ คุณติณณ์เขาให้ตะวันทำอะไรเหรอ”           “ก็...ให้เราอธิบายเหตุผลของจดหมายทั้งสี่ฉบับที่ผ่านมาไง”            “ซึ่งตะวันไม่เคยทำตาม”           “ใช่”            “แล้วครั้งนี้ล่ะ ตะวันจะทำยังไง?”            “ก็ …..” เพียงตะวันผ่อนลมหายใจออก ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่างยืนกอดอกทอดสายตามองสนามหญ้าสีเขียวที่กำลังได้รับการดูแลอย่างดีโดยมีละอองน้ำกระจายออกมาจากสปริงเกอร์ ซึ่งสะท้อนกับแสงแดดอ่อน ๆ ในยามเช้า ช่างเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก หากแต่จิตใจของคนมองกลับไม่ได้ดื่มด่ำกับความงามตรงหน้าเลยสักนิด ดวงตาคู่สวยกลอกไปมาอย่างกังวล “เขาจะให้คนมารับเราเพื่อไปอธิบายเหตุผลบ้าบอที่บ้าน”            เพียงตะวันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนที่จดหมายฉบับแรกของเขาจะส่งมาถึงเธอ.. ในช่วงพักเที่ยงเธอของวันที่เรียนหนังสือตามปกติ เธอและมินตราเปิดประตูเข้าไปห้องน้ำ ขันน้ำใบหนึ่งที่บรรจุน้ำ ใส ๆ ก็ร่วงโดนเธอเข้าอย่างจัง จากนั้นก็เกิดเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ เธอก็เลยสมนาคุณเจ้าของเสียงหัวเราะเหล่านั้นด้วยการจับศีรษะกดลงกับอ่างน้ำ เสียให้หมด ...แค่นั้น!                “ตะวันจะไปมั้ย” เสียงของมินตราถามขึ้นมาทำลายความเงียบ            “ก็...” คนถูกถามละสายตาจากภาพเบื้องหน้า หันมายิ้มน้อย ๆ กลบเกลื่อนความกังวลใจ “คงต้องไป”            การเผชิญหน้ากับเจ้าของจดหมายมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอะไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอหนักใจคงจะเป็น...            ณ คฤหาสน์หลังใหญ่สีขาวซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่สิบกว่าไร่ รถยุโรปสีดำเงาวับ แล่นเข้ามาจอด ก่อนที่คนขับรถจะวิ่งอ้อมมาอีกด้านเพื่อเปิดประตูให้ผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลัง สาวน้อยในชุดนักเรียนของโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งหนึ่งก็ก้าวลงมา ผมยาวที่ถูกรวบไว้สูง เหลือเพียงปอยผม เล็ก ๆ แนบแก้มเนียน ดวงตาทอประกายเจิดจรัสทอดมองบ้านหลังใหญ่อย่างยินดี แต่เพียงชั่วครู่ ดวงตาคู่สวยกลับแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง            “หนูตะวัน หนูตะวันจริง ๆ ด้วย” เสียงแหบแห้งที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาดังขึ้น พร้อม ๆ กับร่างของสตรีผู้สูงวัยที่เดินเร็ว ๆ ออกจากประตูบานใหญ่ของบ้านมา           “ป้าแก้ว”            “ป้าคิดถึงหนูจริง ๆ” เสียงคนเก่าแก่ของบ้าน พูดเสียงดังอย่างยินดีที่ได้พบกับเด็กสาวอีกครั้ง มือเหี่ยวแห้งกุมมือของขาวเนียนเอาไว้ “ทำไมไม่กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างล่ะคะ ทำไมไม่กลับบ้านบ้าง” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความน้อยใจ สะเทือนใจแก่คนที่ถูกถามไม่น้อยเลย           “คงไม่เหมาะถ้าจะให้หนูกลับมาที่นี่อีก” คนถูกถามจะตอบเป็นเสียงสะอื้นไห้ ถ้าเธอไม่กลั้นมันเอาไว้ได้ก่อน ความดีใจ ความอาทร ความคิดถึง มันประดังประเดเข้ามาจนไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่ายินดีที่ได้กลับมายืนที่นี่อีก หรือสะเทือนที่ได้กลับมาเห็นป้าแก้วของเธอร่ำไห้คิดถึงเธออย่างนี้กันแน่            “โธ่ หนูตะวันขา อย่าทำเป็นเหมือนคนอื่นคนไกลสิคะ” คนเก่าแก่ของบ้านทอดเสียงอย่างอาทร มองดูใบหน้าที่ยิ้มแห้ง ๆ แต่นัยน์ตาแฝงแววเศร้า พลางใช้มือทั้งสองข้างพลิกร่างเด็กสาวไปมาราวกับสำรวจ           “ผอมลงรึเปล่าคะ เนี่ย ...อยู่โรงเรียนประจำคงลำบาก” เมื่อรู้ตัวว่าพลั้งปากพูดเรื่องกระทบกระเทือนความรู้สึกของเพียงตะวัน ป้าแก้วจึงรีบก้มหน้าซ่อนความรู้สึกผิดเอาไว้ “เอ่อ ..ป้าขอโทษ”            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ป้าแก้วขา ไม่ลำบากเลย...” เพียงตะวันบอกพลางตบมือบนหลังมือเหี่ยวย่นเบาๆ ราวกับปลอบใจ            “แล้วนี่ ...คุณตะวัน”            “มาพบคุณติณณ์ค่ะ”           “คุณติณณ์ยังไม่กลับนี่คะ ส่วนคุณสกาวใจกับคุณเอมก็คงจะอยู่ที่ร้าน” สองคนหลัง เธอลดน้ำเสียงลงอย่างจงใจราวกับไม่ต้องการเอ่ยถึง ให้หนูตะวันของเธอรู้สึกไม่สบายใจ            “ไม่เป็นไรค่ะป้า... ป้าแก้วจะไปทำอะไรก็ไปเถอะค่ะ ตะวันนั่งเล่นแถวนี้รอคุณติณณ์ก็ได้ค่ะ”            “ไม่เข้าไปในบ้านล่ะคะ”           เพียงตะวันส่ายหน้าในทำนองปฏิเสธอย่างช้า ๆ            “เฮ้อ...ทำอย่างนี่อีกแล้ว หนูตะวันก็ใช่คนอื่นคนไกล จะเดินเข้าออกบ้านนี้เมื่อไหร่ก็ได้” คนพูดถอนหายใจยาว รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นหญิงสาวทำห่างเหินหมางเมินกับที่นี่            “ตะวันบอกแล้วว่ามันไม่เหมาะ” แม้น้ำเสียงจะเรียบ แต่คนฟังก็รับรู้ได้ว่ามันแฝงความดื้อดึงเอาไว้               สุดท้ายแล้วป้าแก้วก็ต้องส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังสนามหญ้าสีเขียวของบ้าน “งั้น หนูตะวันไปนั่งเล่นตรงนั้นก็ได้ค่ะ ป้าจะเอาขนมกับน้ำไปให้ ห้ามบอกว่าไม่นะ ป้าโกรธจริง ๆ ด้วย ”            เพียงตะวันยิ้มน้อย ๆ อย่างขอบคุณในความเอื้ออาทรของป้าแก้วที่มีต่อเธอเสมอ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในฐานะหนูตะวันคนที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านนี้ หรือจะอยู่ในฐานะหนูตะวันของแขกบ้านนี้ แต่น้ำใจของหญิงผู้นี้ยังมีให้กับเธอเสมอไม่เคยขาด ไม่เหมือนกับใครหลาย ๆ คนที่คอยกลั่นแกล้งเธออยู่บ่อยครั้ง            หลังจากป้าแก้วเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้านแล้ว เพียงตะวันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ น้ำตาใส ๆ คลอหน่วยออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองดูบ้านหลังใหญ่ตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง            'บ้านอานันท์ตระการ’ เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ทรงยุโรปสีขาว ...แสงแดดย่ามบ่ายคล้อยตกกระทบทำให้ดูอบอุ่น น่าแปลก...เมื่อได้เข้ามาอยู่ในอาณาบริเวณของบ้านหลังนี้ ความสับสนวุ่นวายที่เธอประสพพบเจอมาจากข้างนอก  ก็มลายหายไปจากใจ  ถึงแม้เธอจะไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้ แต่ก็อยู่มานานกว่าบ้านจริง ๆ ของตัวเอง  รู้สึกรักและผูกพันอย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่าสายใยใด ๆ หรืออาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ ตอนที่ ‘คุณลุงเตชสิทธิ์’ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านทำให้เธอสึกอุบอุ่นใจปลอดภัยไปด้วยกระมัง            เด็กสาวทอดน่องไปตามทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินทรายสีเหลืองผ่านสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ปลูกไว้ดูเขียวชอุ่ม โดยมีสายลมเย็น ๆ หยอกล้ออยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาหยุดตรงม้านั่งโต๊ะกลมสีขาว ที่ใต้ลีลาวดีต้นใหญ่ซึ่งแผ่กิ่งก้านสาขาให้ความร่มรื่น ภาพของความทรงจำในวันเก่ายังไม่เลือนหาย           อุปาทานเหมือนดั่งเสียงของคุณลุงเตชสิทธิ์  ที่ชอบมานั่งอ่าน หนังสือ ณ ตรงนี้ แว่วเข้าหู...แล้วมันก็เกิดภาพของวันวานสะท้อนขึ้นในดวงตาทั้งคู่  ดั่งกับภาพในฟิล์ม ที่ถูกฉายออกมาเป็นฉาก ๆ            ‘ ตะวัน ลุงไม่สามารถดูแลหนูไปตลอดชีวิต หากวันดีที่ไม่มีลุงอยู่อีกแล้ว ลุงขออย่างเดียวได้มั้ย…’            ‘คะ?’ สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมามองผู้สูงวัยกว่าอย่างช้า ดวงตาทอดมองที่สีหน้าอันโรยราตามกาลเวลาของคนพูด ยิ่งเห็นแล้วก็ยิ่งเศร้าใจ           ‘ขอให้ความเข้มแข็งจงอยู่กับหนูนะตะวัน’ผู้สูงวัยเอ่ยเสียงเครือ         แล้วเด็กสาวก็ก้มหน้ารับคำซึมซับกับคำพูดของผู้สูงวัยอย่างตื้นตันใจ ‘ค่ะ ตะวันจะเข้มแข็ง’            เสียงกรุ๊งกริ๊งที่ดังแว่วเข้ามาเมื่อเกิดสายลมพัดโชยมา ทำให้ภวังค์ของวันวานหลุดหาย เท้าเล็ก ๆ ที่กำลังเหยียบลงบนพื้นหญ้าชะงัก เธอค่อย ๆ เหลียวมองโมบายเล็ก ๆ ที่เธอนำมาผูกกับกิ่งไม้ของต้นลีลาวดีที่โตเต็มที่ต้นนี้ ด้วยมือของเธอเอง           ดวงตาเพ่งมองดูโมบายรูปต่าง ๆ ที่แกว่งไกวไปตามแรงลม     พร้อม ๆ กับเสียงกรุ๊งกริ๊งอันที่กังวานไปรอบ ๆ บริเวณ และแล้วน้ำตาที่เธอพยายามกลั้นเอาไว้ มันก็ไหลทะลักออกมาจนได้            ใครบอกว่าเธอไม่คิดถึงที่นี่            ใครบอกว่าเธออยู่โรงเรียนประจำแล้วมีความสุข ทั้งเหงาและเดียวดายจะตายไป            ใครบอกว่าเธอไม่อยากเข้าไปภายในบ้านหลังนี้ เธอคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มันอยู่ในนั้น คิดถึงโซฟาตัวใหญ่ที่เธอชอบไปอ่านหนังสือ คิดถึงเก้าอี้สีขาวในสวนแห่งนี้ ที่เธอมักจะไปนั่งวาดภาพระบายสี คิดถึงห้องสมุดที่เธอมักจะอ่านหนังสือจนผล็อยหลับไป จนต้องให้ป้าแก้วมาปลุกทุกครั้ง            เธอคิดถึงห้องนอนสีขาวอบอุ่น ที่เธอออกแบบตกแต่งเองกับมือ        น้ำตาใส ๆ ไหลรินอาบสองแก้ม ใครเลยจะรู้ว่าชีวิตเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้วซึ่งมีแต่ความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่ว ๆ ไป แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ความสุขและรอยยิ้มที่เคยมีกลับเหือดหายออกไปจากชีวิต เมื่อเธอต้องมาสูญเสียคนที่เธอรักดั่งพ่อบังเกิดเกล้าของเธอเอง           เพียงตะวันจำได้…            ยามสาย ๆ ของเช้าวันนั้น อากาศดีเสียจนเธออดไม่ได้ที่จะนั่งวาดรูปอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้สีขาว โดยมีดอกทานตะวันสีเหลืองสดที่มันกำลังบานอยู่ในกระถางเป็นแบบ            และแล้วเสียงร้องที่กรีดร้องก็ดังขึ้น ทำให้พู่กันที่กำลังจะแต้มสีลงบนผ้าใบนั้นต้องชะงัก ก่อนจะร่วงลงมาจากมืออันสั่นเทา เธอเงยหน้าขึ้นไปมองต้นทางของเสียงที่ดังออกจากข้างในบ้าน           “ลุงเตชสิทธิ์!”            เพียงตะวันละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ออกแรงวิ่งไปตามทางเข้าบ้าน เธอวิ่งมุ่งหน้าไปยังห้องนอนใหญ่ ซึ่งมีเสียงร้องไห้ดังระงมออกมา ประตูห้องที่เปิดรออยู่แล้ว ไม่ทำให้เธอต้องเสียเวลาเปิด ทันทีที่ชะโงกหน้าเข้าไปมองก็เห็นบ่าวไพร่นั่งร้องไห้ล้อมรอบเตียงนอนใหญ่ ป้าแก้วที่นั่งอยู่ข้างเตียงกำลังกุมมือเจ้าของเตียงที่ดูเหมือนจะหลับสนิท ก่อนจะหันหน้าที่เอ่อนองไปด้วยน้ำตามาบอกเธอที่กำลังก้าวเข้าไปหาอย่างช้าๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ…            “คุณท่านสิ้นแล้วค่ะ หนูตะวัน!”            และในวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอได้มีโอกาสกอดคนที่เธออยากเรียกว่าพ่อมากที่สุดเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย เด็กสาวนอนกอดร่างอันไร้วิญญาณจนน้ำตามันแห้งเกรอะไปทั้งแก้ม ตลอดเวลาที่รอให้เจ้ากับร่างลุงเตชนั้น เธอก็ได้ยินคำพูดเย้ยหยันของสกาวใจผู้หญิงที่อยู่ในฐานนะภรรยาของคุณลุงเตชสิทธิ์อยู่เป็นระยะ ๆ      

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

สวาทรักใต้เพลิงแค้น

read
14.3K
bc

เมื่อฉันแอบรักซุปตาร์นายเอกซีรีส์วาย

read
13.6K
bc

เล่ห์รักนายหัว

read
6.7K
bc

Relazione เจ้าหัวใจสายใยรัก

read
4.1K
bc

สะใภ้ขัดดอก

read
39.4K
bc

ลุ้นรักสลับใจ

read
1K
bc

หวงรักเมียเด็ก

read
1K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook