EP.14 ด่านแรก

1731 Words
EP.14 ระยะกว่าสี่ปีเต็มที่หญิงสาวอยู่อย่างเดียวดายกับลูกน้อยและพ่อแม่ แม้บางครั้งความเจ็บปวดจากการสูญเสียจะแสดงออกมาจากใบหน้างามนั้น ซึ่งมันไม่มีวันจางหายไป แต่ก็ยังดีที่มีภูตะวันยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ กล่าวกับเธออย่างเอื้ออาทรให้เธอนึกถึงเด็กชายอาเปาให้มากๆ เขาอยากจะให้เธออยู่เพื่ออาเปา ซึ่งความคิดนี้ถ้าหากเป็นพิชิตก็คงจะกล่าวในลักษณะไม่ต่างกัน พิชิตและภูตะวันเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ครั้งพอได้บรรจุงานพร้อมกันทั้งสองหนุ่มจึงเลือกมายังหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าให้อยู่จนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ตั้งแต่ภูตะวันกล่าวให้กำลังใจเซปา หญิงสาวชาวเขาซึ่งขณะนั้นเพิ่งคลอดอาเปาได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นก็ฮึดลุกขึ้นสู้ ไม่ท้อแท้เพราะการสูญเสียอีกต่อไป “เซปารักใครไม่ได้อีกแล้ว นอกจากพี่ชิด” หญิงสาวเคยบอกเพื่อนของสามีในวันที่ชายหนุ่มต้องการรับผิดชอบเธอแทนเพื่อน “พี่ภูอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ อนาคตของพี่จะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ พี่ภูอย่าเอาตัวเองมาจบลงที่ความรับผิดชอบเลยค่ะ เซปาเข้าใจว่าพี่ก็เสียใจที่ต้องสูญเสียเพื่อน แต่พี่เคยบอกเซปาไม่ใช่หรือว่าพี่ชิดเขาไปดีแล้ว เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มความสามารถแล้ว” “แต่พี่...” เขายังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เซปาเจ็บปวดเช่นไร เขาก็เจ็บปวดไม่ต่างกันนัก บาดแผลในหัวใจมันทำให้ร่างกายของเขาเชื่องชาไประยะหนึ่ง “ไม่ค่ะ จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น เราทั้งสองคน เออ...ไม่สิคะ ยังมีอาเปาอีกคนที่ต่างต้องสูญเสียคนที่เรารักไปในเวลาที่พร้อมๆ กัน เราอย่านำเอาความเจ็บปวดเหล่านั้นมาเพิ่มภาระให้แก่กันและกันเลยนะคะ” ทั้งสองหนุ่มสาวได้แค่ปลอบกันไปมา จนกระทั่งระยะเวลาทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เซปาอยู่ได้ด้วยลูกน้อย ส่วนภูตะวันก็อยู่ด้วยการทำงาน พวกเขาต่างเชื่อว่าพิชิตไม่ได้ไปไหน เจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มยังอยู่ในหัวใจตลอดไป ทางด้านภูตะวันนั้นสามารถลืมทุกอย่างไปได้ด้วยการทำงานก็จริง แต่เขาก็ยังเชื่อโดยไม่ยอมเปิดเผยออกมาว่าบาดแผลในหัวใจของเขานั้นก็ยังคงอยู่ เช่นเดียวกับเซปา ที่เลือกจะใช้เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับลูกน้อยที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร... “อย่าลืมสิว่าอาเปาก็ลูกของพี่คนหนึ่งนะ ให้นอนที่นี่แหละดีแล้ว” ชายหนุ่มบอกหญิงสาวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะมองไปยังกลุ่มชาวบ้านที่เตรียมตัวจะเดินทางกลับหมู่บ้าน เขาบอกหญิงสาว “ไปสิเซปา คนอื่นจะกลับกันแล้วนะ ให้อาเปานอนกับพี่ที่นี่แหละพรุ่งนี้เช้าพี่จะพาไปส่งที่บ้านเอง” ได้รับคำยืนยันเช่นนั้นหญิงชาวเขาจึงมองหน้าชายหนุ่มเนิ่นนานราวตัดสินใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะให้กับชายหนุ่มเป็นเชิงขอบคุณแล้วหมุนกายกลับไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นๆ และเดินทางกลับหมู่บ้านไปที่สุด ภูตะวันมองตามกลุ่มชาวบ้านที่เดินจากไปจนลับตา กลุ่มชาวบ้านพวกนี้มักนำอาหารการกินมาให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกครั้งที่ทราบว่าพวกเขากลับจากการลาดตระเวนป่า ด้วยสินน้ำใจและความเอื้ออารีที่มีต่อกัน ถอนหายใจแล้วมองร่างน้อยๆ บนตัก ก่อนจะตัดสินใจอุ้มเด็กชายอาเปาขึ้นแล้วพากลับห้องพักไปในที่สุด เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่ต่างแยกย้ายกลับที่พักในเวลาต่อมา ทิ้งให้กองเพลิงที่อ่อนล้าแสงค่อยๆ ดับมอดอยู่ท่ามกลางความเงียบและเย็นยะเยือกของผืนป่ากว้าง... วันเดินทางสู่หมู่บ้านผาตะวันของธารารินและอริมามาถึงในช่วงเช้าของฤดูหนาวที่มีไอหมอกลอยเกลี่ยเหนือยอดไม้กับเสียงน้ำค้างที่ไหลหยดลงกระทบใบไม้แห้งเสียงดังเปาะแปะ เช้านี้อากาศหนาวกว่าทุกวันที่ผ่าน ยิ่งสายหมอกก็ยิ่งลงหนาจนเมื่อมองออกไปข้างนอกตัวเรือนสามารถเห็นละอองหมอกเม็ดเล็กๆ ลอยกรุ่นราวหิมะตก ฝ่ายพระอาทิตย์ก็ยังหลบอยู่หลังเทือกเขาสูง ห่มตัวเองด้วยผืนป่าสีเขียวขจีไม่ยอมออกมาทำหน้าที่ของตนเอง นักพัฒนาสาวในชุดเสื้อโค้ทตัวโคร่งถือกระเป๋าสัมภาระเพียงใบเดียวที่จัดไปเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นกับของใช้จำเป็นเท่านั้นออกมารอรถสองแถวที่พวกเธอเหมาจ้างให้ไปส่งยังบ้านป่าบ้านดอยที่หน้าอำเภอ ที่ศาลารอรถอริมายืนรอเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว “เช้านี้หนาวกว่าทุกวันเลยนะคะ น้องธาร” เป็นประโยคแรกที่อริมาทักสาวรุ่นน้อง พร้อมกับมองชุดตัวโคร่งของหญิงสาวแล้วยิ้มขำ “เหมือนว่าจะต้อนรับพวกเราเลยนะ” “นั่นสิคะ ดีที่ธารเตรียมเสื้อโค้ทตัวนี้มาด้วย” หญิงสาววางกระเป๋าลงก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกแล้วรำพึงเสียงสั่น “ไม่รู้ว่าบนดอยจะอากาศดีเหมือนที่นี่หรือเปล่า ธารชอบจังเลยค่ะ” “ชอบก็เตรียมตัวไว้เลยนะ เชื่อพี่สิอากาศที่นั่นจะต้องทวีเป็นสองเท่าของอากาศเวลานี้แน่” ทั้งสองส่งยิ้มให้แก่กัน ก่อนจะเปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างปีติ ไม่นานหลังจากนั้นรถสองแถวที่พวกเธอว่าจ้างก็เดินทางมาถึง ธารารินรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากมายที่จะได้ไปยังหมู่บ้านโครงการหลวง ได้รู้จัก ได้เห็นถึงวิถีชีวิตชาวบ้านซึ่งอริมาได้เคยเล่าว่าพวกเขาต่างอยู่อย่างพอเพียงตามรอยพระราชดำริของพ่อหลวงและแม่หลวงของพวกเขา หลังขนของขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว รถจึงได้เคลื่อนไปตามเส้นทางมุ่งสู่ทิศเหนือของตัวอำเภอ ผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่ากว่าสิบกิโลเมตรก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางถนนลูกรังที่มีแต่ฝุ่นผงสีแดง ผ่านป่าไม้ ผ่านลำห้วย ขึ้นสู่ที่สูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นทิวเขาซึ่งอริมาบอกว่านั่นล่ะคือที่ตั้งของหมู่บ้านผาตะวัน ไกลออกไปอยู่ลิบๆ เห็นหลังคาเรือนชาวบ้านซุกตัวอยู่ท่ามกลางสายหมอกสีขาวดั่งปุยนุ่นและผืนป่ากว้าง โดยตัดกับความแห้งแล้งของขุนเขาอันซึ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรของชาวบ้าน รถสองแถวคันนั้นยังคงแล่นไปตามเส้นทางที่วางตัวอยู่บนเขาสูงและชัน ถ้าหากหันมองกลับไปยังเส้นทางที่เพิ่งจากมาก็จะเห็นตัวอำเภอเชียงตะวันทั้งหมด เห็นหลังคาเรือนของชาวบ้าน เห็นวัดวา เห็นต้นไม้และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่ลิบๆ ซุกตัวอยู่ในแอ่งที่มีหุบเขาใหญ่ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ เกือบเที่ยงรถคันนั้นจึงหยุดลงกลางทาง ซึ่งทางข้างหน้าเป็นถนนลูกรังที่จะต้องไต่ขึ้นเขาที่เกือบจะตั้งฉาก ธารารินและอริมามองหน้าคนขับสลับกับเส้นทางด้วยคำถาม ก่อนสาวจากเมืองกรุงจะเอ่ยขึ้น “จอดรถทำไมล่ะคะลุง” ชายชราผู้ทำหน้าที่พลขับไม่เอ่ยคำใด เขาลงจากรถแล้วรี่ไปข้างหลังรถ ขนสัมภาระของทั้งสองสาวลงวางกับพื้นอย่างไม่สนใจสีหน้าแปลกใจและคำถามจากทั้งสองสาวที่ตามลงมาโวยวายเสียงดังลั่น โดยเฉพาะอริมาที่ตาลุกเป็นเพลิงราวจะแผดเผาชายคนนั้นให้มอดไหม้ “นี่ลุง อะไรกันมันยังไม่ถึงเลยนะ จะเอาของพวกหนูลงทำไม” “ไปบ่ได้แล้ว” ชายชราเอ่ยเป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ “ทางมันจิ่ง รถลุงไปบ่ไหว” “อ้าว...ก็ไหนคราวแรกว่าไปไหวล่ะคะ” นักพัฒนาสาวเถียงต่อ ใบหน้างามแดงก่ำอย่างไม่พอใจสุดๆ “ใช่ค่ะ ตอนแรกที่ตกลงกันไม่ใช่แบบนี้นี่คะ” “ไปบ่ได้แต๊ๆ ครับ พวกคุณย่างเท้าไปเตอะ อีกแค่สามกิโลเอง เฮ้อ...มันไกลแต๊ๆ บ่เอาๆ ต่อไปลุงบ่มาแหมแล้ว” ชายชราเกาหัวแล้วเดินกลับมายังรถ เปิดประตูเตรียมจะขึ้นไปนั่ง หากเวลานั้นอริมาก็รีบรี่เข้ามาขวางเอาไว้ “ลุงจะเอาตังส์แหมเต้าใด” สาวเมืองเหนือว่าอย่างเหลืออด เตรียมถลกแขนเสื้อขึ้นอย่างเอาเรื่อง อากาศที่ว่าหนาวนั้นบัดนี้จางหายไปพร้อมกับอารมณ์โกรธเสียแล้ว “บ่เอาๆ มันไปบ่ไหวแต๊ๆ นะนี่น้ำมันจะปิ๊กเข้าในเมืองจะมีก่อบ่ฮู้” “เฮาบ่หื้อกลับ” อริมาว่าเสียงเข้มจัด หญิงสาวมองเลยร่างสั้นม่อต้อของชายชราไปยังธารารินที่ยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่กับกองสัมภาระ ฝ่ายตาเฒ่าได้แต่ทำหน้าเครียดพร้อมกับยกมือขึ้นพนมไหว้ “แต๊ๆ ละ รถลุงไปบ่ไหวแล้ว ดูก่าน้ำหม้อจะไหม้แล้ว สูทั้งสองจะไปก็เดินกันไปเต๊อะ จากตรงนี้ก็บ่ไกลหรอก ถ้าโชคดีก็อาจจะปะรถชาวบ้านที่กลับจากในเมือง ขอเต๊อะอีหล้า รถของลุงมันบ่เคยมาไกลขนาดนี้หื้อลุงกลับเต๊อะ” “บ่ได้ ตอนแรกก็ตกลงกันแล้วนี่ว่าจะส่งถึงที่ แต่นี่ยังบ่ถึงเลยนะ” “เต๊อะหล้า ขอเต๊อะ อิดูลุงเต๊อะ” “บ่!!” เห็นท่าทางของตาเฒ่าและสภาพของรถแล้วธารารินก็ได้แต่ส่ายหน้า หญิงสาวถอนใจแล้วเดินมาจับแขนของอริมาแล้วว่า “ช่างเถอะค่ะพี่อบ เราเดินกันไปก็ได้นะคะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD