EP.12
ระหว่างรับประทานอาหารเที่ยงนั้นอริมามองหน้าธาราริน พร้อมกับนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อนาทีก่อนแล้วพาลหนักใจตามไปด้วย
ดูเหมือนป้าพรจะแสดงความไม่พอใจออกมาแรงกว่าทุกครั้งที่เธอเคยเห็นมา ยิ่งธารารินประกาศอย่างชัดเจนที่จะยืนอยู่อีกข้างของคุณป้ามหาภัย หล่อนก็ยิ่งหวั่นกลัวนั่นเพราะใจหนึ่งก็ยังเคารพในความเป็นผู้ใหญ่ของคุณป้าอยู่
“น้องธารไม่น่าทำท่าแบบนั้นกับป้าพรเลย” เธอเอ่ยเตือนเสียงแผ่ว มองหน้าธารารินอย่างหนักใจแทน
ฝ่ายสาวจากเมืองกรุงแค่จุดยิ้ม ก่อนจะวางช้อน ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอย่างไม่อินังขังขอบกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป
“ทำไมหรือคะ ธารก็แค่ยกมือรับไหว้เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่อวยพรก็เท่านั้น ไม่ได้ทำผิดอะไรนี่คะ”
“เท่าที่ดูก็รู้ว่าน้องประชดป้าแก”
“ไม่ได้ประชดจริงๆ ค่ะพี่อบ แหม...ธารไม่ได้ตั้งแง่หรืออะไรกับป้าแกเลยนะคะ พี่อบก็รู้นี่ว่าป้าพรเป็นคนอย่างไร”
“ดูเหมือนว่าป้าแกจะโกรธมากเลยนะคะที่เราเดินหนีมาอย่างไม่ตอบคำ นอกจากแค่ธารยกมือไหว้”
“ธารหิวนี่คะเลยรีบพาพี่หนีออกมา พอค่ะพอ ธารว่าเราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันเลยนะคะ เรามาวางแผนกันดีกว่าว่าจะเตรียมตัวเดินทางไปที่หมู่บ้านผาตะวันกันเมื่อไหร่”
“เหอะ...คิดเร็ว ทำเร็วจริงๆ นะ พี่ชักจะหมั่นไส้เพราะตามไม่ทันเธอแล้วสิ”
อริมาค้อนน้องสาวก่อนจะรวบช้อนแล้วเลื่อนจานอาหารไปไว้ด้านข้าง แล้วจึงหันมาปราศรัยกับธารารินในเรื่องการเตรียมตัวเดินทางไปปฏิบัติงานยังหมู่บ้านผาตะวันในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า
ซึ่งข้อมูลที่ธารารินได้รับฟังจากอริมาเพิ่มเติมในวินาทีนั้นว่า จริงๆ แล้วอำเภอเชียงตะวันมีทั้งหมดสิบตำบล ซึ่งหมู่บ้านผาตะวันอยู่ในเขตความรับผิดชิดของตำบลผาม่าน ซึ่งหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อยู่ห่างไกลความเจริญและห่างจากที่ว่าการองค์การบริหารส่วนตำบลผาม่านอยู่ไกลอักโข ซึ่งระยะทางของหมู่บ้านในป่าใหญ่นี้ไกลจากตัวอำเภอถึงเจ็ดสิบกิโลเมตร การสัญจรไปมาแต่ละครั้งลำบากเพราะต้องผ่านห้วยระหานและขุนเขาน้อยใหญ่อันทุรกันดาร
ด้วยการสัญจรที่ยากลำบากนี่เองจึงไม่ค่อยมีหน่วยงานทางราชการเดินทางไปดูแล ได้แต่ปล่อยให้ชาวบ้านผาตะวันกันเอง จะมีเพียงเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานและเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมเท่านั้นที่ดูแลและช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในยามจำเป็น
รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนจากกองร้อยในพื้นที่ก็ได้เดินทางมาดูแลชาวบ้านเป็นครั้งคราวเท่านั้น
แสงตะวันค่อยๆ เลือนลาลับเหลี่ยมเขาไปทีละน้อยพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันนั้นหมดลงไป โดยมีความเย็นแทรกผ่านแทนที่แผ่ปกคลุมไปทั่วผืนป่าแห่งนั้น
ที่หน้าสำนักงานหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม ซึ่งในอาณาบริเวณนั้นมีบ้านพักของข้าราชการพลเรือนอยู่สองหลังให้กับเจ้าหน้าที่ซึ่งประจำการอยู่เพียงห้านายเท่านั้น คือนักวิชาการป่าไม้และควบตำแหน่งหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำฯ คือภูตะวัน สัญธิมา เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ได้แก่ ศิลา กมลภักดิ์, ภูผา นิลวรรณ, ณัฐวัฒน์ กุลนันท์และพัน พงษ์พันธ์ ซึ่งเรือนพักหลังแรกนั้นเป็นของภูตะวันและศิลา ส่วนอีกหลังหนึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่อีกสามนายพักร่วมกัน
ณัฐวัฒน์ได้ก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นที่ลานด้านหน้าเรือนพักทั้งสองหลังและอาคารสำนักงานซึ่งหันหน้าจรดเข้าหากันเป็นรูปตัวยู ก่อนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ จะช่วยกันขนโต๊ะออกมาตั้งพร้อมทำอาหารเย็นแบบง่ายๆ กันตรงนั้นเลย
เสียงพูดคุยกันตามประสาหนุ่มๆ ดังหยอกกันอยู่เป็นระยะ บ้างก็พูดเล่นตามความที่สนิทสนมกัน ก่อนจะวกกลับไปคุยถึงเรื่องการเดินป่าของเจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายยกเว้นภูผา นิลวรรณที่อยู่เฝ้าสำนักงาน บรรยากาศในป่าที่เต็มไปด้วยความงดงาม กับเหตุการณ์ชวนระทึกขวัญที่พวกเขาและเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานพบเจอกับฝูงกระทิงป่าที่กำลังเดินทางไปกินหญ้าที่ทุ่งลานดาว ทุ่งหญ้าผืนใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ซุกตัวอยู่ในผืนป่ากว้างแห่งนี้
ไม่นานภูตะวัน ก็เดินลงจากเรือนพักพร้อมกับถ้วยกาแฟ หัวหน้าของพวกเขาขยับมานั่งบนขอนไม้ข้างกองไฟกองใหญ่นั้น
“หัวหน้าครับ อาทิตย์หน้าเราจะไปทางทุ่งลานดาวไหมครับ ผมจะได้นำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปถ่ายกระทิงฝูงนั้นด้วย”
ณัฐวัฒน์หันไปถามหัวหน้าทีมอย่างสนใจในคำตอบ เสียดายวันก่อนเขาลืมนำกล้องถ่ายภาพติดตัวไปด้วยจึงอดที่จะได้ภาพสวยๆ มาเก็บไว้
ณัฐวัฒน์ กุลนันท์เป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกลที่เพิ่งบรรจุเข้าทำงานในหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยม เด็กหนุ่มอายุกำลังย่างยี่สิบห้า พร้อมกับเป็นคนที่ชอบถ่ายภาพมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงชื่นชอบบรรยากาศในผืนป่าใหญ่อันเขียวขจีกับธรรมชาติอันรังสรรค์อย่างลงตัวจึงได้ขอเข้าบรรจุงานที่หน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำแห่งนี้
ซึ่งความสามารถของณัฐวัฒน์นี่เองที่เป็นส่วนช่วยให้หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้มีภาพถ่ายสวยๆ ประกอบการรายงาน
เช่นเดียวกับศิลา ซึ่งอายุอานามห่างจากณัฐวัฒน์เพียงไม่กี่ปี ประกอบกับอุปนิสัยที่ร่าเริงคล้ายๆ กัน ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว โดยมีศิลานี่ล่ะที่ช่วยสอนงานในด้านต่างๆ ให้กับณัฐวัฒน์จนเป็นงานอย่างรวดเร็ว
ทางฝ่ายของภูผาและพัน นั้นทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่วัยกลางคนซึ่งอยู่ที่หน่วยพิทักษ์ฯ แห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่มีสำนักงาน พวกเขาประจำการตั้งแต่แรกเริ่มที่เป็นแค่ศูนย์ระวังและรักษาป่าต้นน้ำเท่านั้น จึงจัดว่าเป็นคนเก่าคนแก่ที่สุดของหน่วยแห่งนี้
“พี่ไม่แน่ใจหรอกนะ เพราะอาทิตย์หน้าเราจะไปทางทิศเหนือ ไปดูผืนป่าผาม่านเพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของต้นน้ำยม”
หัวหน้าทีมหนุ่มบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าทิวหมอกอยากจะไป ตอนเดินทางกลับเราสามารถตัดสันเขาไปแวะที่นั่นสักวันก็ได้”
“ยอดเยี่ยมเลยครับหัวหน้า” เด็กหนุ่มยิ้มแย้มอย่างดีใจเป็นที่สุด รอยยิ้มของเขาดูสดใสตามวัย ยิ่งเห็นเขี้ยวเสน่ห์ทั้งสองข้างแล้วเชื่อได้ว่าเมื่อหญิงสาวคนใดเห็นแล้วเป็นต้องหลงเจ้าหนุ่มอย่างทันทีแน่นอน
แต่ความมีเสน่ห์นี้กลับทำให้เด็กหนุ่มไม่ชอบใจนักเพราะตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมจวบจนเรียนมหาลัยเขามักจะถูกเพื่อนที่สนิทกันแซวว่าเขี้ยวเสน่ห์ของเขานั้นที่จริงแล้วเรียกอีกอย่างว่าเขี้ยวหมา
ซึ่งในเวลานี้คนที่แซวต่อจากกลุ่มเพื่อนของเขานั้นเห็นจะไม่พ้นศิลา
“ตลอดเลยนะครับหัวหน้า ตามใจไอ้นี่อยู่เรื่อย ดูสิมันแยกเขี้ยวเหมือนจะกัดผมอีกแล้ว”
เสียงแซวจากศิลาทำให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นในหมู่ของเจ้าหน้าที่หนุ่มๆ หากยกเว้นณัฐวัฒน์ที่หุบยิ้มอย่างทันทีก่อนจะทำหน้าบึ้งค้อนพี่ชายนายหินไปเสียวงโต
“อย่าให้ผมได้กัดนะครับพี่หิน ผมจะกัดไม่ปล่อยเลยล่ะ”
“งั้นฉันไม่อยู่ใกล้แกล่ะไอ้ทิว เดี๋ยวโดนกัด”
ศิลารับมุกแล้วกระโดดไปนั่งบนขอนไม้ข้างๆ กับหัวหน้าของตน
“นู่นครับหัวหน้า...มีใครมาอีกล่ะนั่น”
มานั่งไม่ถึงนาที สายตาอันคมกล้าของศิลาก็จับเข้ากับบุคคลกว่าห้าคนที่เดินลัดเลาะมาตามเส้นทางตรงมายังกลุ่มเจ้าหน้าที่หนุ่มที่กำลังจัดเตรียมอาหารเย็นกันอยู่
เช่นเดียวกับภูตะวันที่มองตามคำของศิลา เจ้าหนุ่มจุดยิ้มแล้วลุกจากที่เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่ากลุ่มชาวบ้านที่เดินมาหานั้นเป็นใคร
และเพียงแค่เห็นนักวิชาการป่าไม้หนุ่มเท่านั้น เด็กชายตัวน้อยวัยสามหรือสี่ขวบที่มารดาจูงแขนมาพร้อมกับชาวบ้านกลุ่มนั้นก็ยิ้มแล้วร้องเรียกชายหนุ่ม ก่อนเจ้าของร่างสั้นป้อมนั้นจะปล่อยมือจากมารดาแล้ววิ่งรี่มาหาเขาอย่างทันที
“นั่น ลูกชายหัวหน้ามาหาแล้ว”
ศิลาเปิดเสียงหัวเราะแล้วแซวหัวหน้าของตนตามประสา