“เออสิวะ เมื่อคืนเจอแต่คนไข้เคสหนักๆ ทั้งนั้น” นายแพทย์แทนคุณตอบเพื่อน ก่อนจะเพ่งมองชุดแต่งกายของอีกฝ่าย “ไหนเอ็งบอกว่าเมื่อคืนแก้งานทั้งคืนจนแทบไม่ได้หลับได้นอน แล้วเอาสติที่ไหนไปวิ่งออกกำลังกายวะ”
นรภัทรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางยกมือลูบใบหน้าตัวเองไปมา
“สติน่ะพอมีอยู่ กะจะวิ่งให้อารมณ์ดีขึ้นไงวะ”
“ถูกให้แก้บทอีกหรือไงถึงทำให้เอ็งอารมณ์ไม่ดี”
“เรื่องแก้บทเป็นเรื่องปกติ พอละครเรทติ้งดีมักจะถูกให้แก้บทแบบนี้ประจำอยู่แล้ว ก็มีโมโหบ้างคือจะเอาเช้านี้แหละวะ เห็นสมองข้าเป็นอัจฉริยะหรือไงบอกปุ๊ปจะเอาปั๊ป นี่ถ้าไม่ใช่เป็นของพี่บุษข้ายกเลิกไม่ทงไม่ทำมันแล้ว”
คำพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวของผู้เป็นเพื่อน ทำเอาแทนคุณหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายก็พูดออกไปอย่างนั้นเอง เพื่อนเขาเป็นคนเขียนบทฝีมือฉกาจฉกรรจ์ เขียนเรื่องไหนก็มักจะดังเรื่องนั้น แต่เป็นประเภททำงานตามใจตัวเอง ถ้าไม่อยากทำต่อให้จำนวนเงินที่จะได้มากมายเพียงใดก็ไม่ทำ
“แหม...ไอ้ภัทร ถึงเอ็งไม่ทำอะไรเลยก็มีกินไปตลอดชาตินี่หว่า”
สิ่งที่นายแพทย์หนุ่มพูดไม่ได้เกินความเป็นจริงไปนัก เพราะต้นตระกูลของนรภัทรเป็นเจ้าของที่ดินสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่หก บริษัทดังๆ หลายแห่งรวมทั้งสถานีโทรทัศนช่องดัง ก็เช่าที่ดินของอีกฝ่ายทำกิจการ เรียกว่าเป็นเสือนอนกินก็ว่าได้ แค่เงินปันผลที่ได้รับจากครอบครัวก็ใช้ไม่หมดแล้ว มิหนำซ้ำทางฝ่ายบิดามารดาของอีกฝ่าย ก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน
นรภัทรจึงเป็นทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ถ้าข้าทำอย่างที่เอ็งพูดเกิดมาก็เสียชาติเกิดแหละวะ”
นายแพทย์หนุ่มมองหน้าคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันของเพื่อน
“เรื่องแก้บทคงไม่ทำให้เอ็งอารมณ์เสียขนาดนี้ แสดงว่ายังมีเรื่องอื่นอีกใช่ไหมวะ”
เป็นเพราะคบกันมาช้านานประเภทมองตาก็รู้ถึงตับไตไส้พุง แล้วมีหรือที่แทนคุณเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเพื่อนแล้วจะไม่สะกิดใจ จะว่าหงุดหงิดเรื่องแก้บทคาดว่าคงไม่ใช่ประเด็นหลักซะแล้ว
“คุณย่าน่ะสิโทร. มาหาข้าแล้วพูดเรื่องเดิมๆ อีกแล้วว่ะ น่าเบื่อชะมัด”
แทนคุณนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“เรื่องที่บอกว่าแกเคยมีคู่หมั้นคู่หมายน่ะหรือวะ”
นรภัทรส่งค้อนให้เพื่อนก่อนจะพยักหน้า
“ก็จะเรื่องอะไรอีกล่ะผ่านไปตั้งหลายปี คุณย่ายังไม่หลงลืมอีก ข้าก็อุตส่าห์ย้ายหนีมาอยู่ข้างนอกแล้วนะ”
นายแพทย์หนุ่มมองหน้าผู้เป็นเพื่อนแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นพลางส่ายหน้าไปมา
“เรื่องของเอ็งนี่ฟังแล้วตลกเป็นบ้าเลยว่ะไอ้ภัทร ในโลกมายาเอ็งเป็นคนเขียนบทบาทให้ดาราคนโน้นคนนี้ แสดงเป็นตัวนั่นนี่จนโด่งดังมาตั้งหลายคน แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงกลับจะถูกคุณหญิงย่าจับแต่งงานซะงั้น ตกลงเอ็งเอาบทบาทที่เขียนมาแสดงเองหรือไงวะ”
คำว่าคุณหญิงย่าของหมอหนุ่มฉายแววล้อเลียน จนคนฟังต้องส่งค้อนให้เพื่อนราวผู้หญิง ดวงหน้าหล่อเหลาปรากฏแววเบื่อหน่ายออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“เอ็งลองมาเป็นข้าแล้วจะตลกไม่ออก”
“นั่นสิวะ เรื่องจับคู่แต่งงานน่ะถ้าเป็นคนรุ่นปู่ย่าตายายเราคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่เป็นสมัยที่คนไทยก้มหน้าก้มหน้าอยู่กับสมาร์ตโฟนในมือ เป็นยุคของคนบ้าโซเชียลเน็ตเวิร์ก ยุคของคนบ้าถ่ายคลิป ข้าว่าคุณย่าเอ็งคงเอาความคิดของคนในสมัยตัวเองมาใช้มั้ง”
“ข้าก็คิดเหมือนเอ็ง”
แวบหนึ่งนรภัทรคิดไปถึงดาราสาวซึ่งเป็นอดีตคนรัก เขาเคยคิดจะพาอีกฝ่ายไปแนะนำกับผู้เป็นย่าและครอบครัวเปิดตัวว่าเป็นคนรัก เพื่อให้ทางนั้นล้มเลิกความคิดจับคู่แต่งงานนั่นลงเสีย แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ
ซึ่งเขาต้องขอบคุณเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นเป็นอย่างมากทีเดียว
“เอ้อ...ไอ้ภัทร ข้ามีเรื่องจะเล่าให้เอ็งฟังตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ลืม”
สีหน้าของคนเป็นเพื่อนดูมีลับลมคมในแปลกๆ เรียกแววสงสัยให้เกิดกับนรภัทรไม่น้อย
“เรื่องอะไรของเอ็ง”
“เมื่อวานข้าแวะไปซื้อของที่พารากอนแล้วเจอแฟนเก่าเอ็งด้วย ข้านะอุตส่าห์หลบแต่ไม่พ้นว่ะเลยต้องประจัญหน้ากันจนได้”
นายแพทย์หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ชื่นชอบคนที่ถูกพูดถึงนัก แล้วก็ลอบชำเลืองมองหน้าของคนฟังว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรให้เห็น กับการที่เอ่ยอ้างถึงผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นอดีตแฟนเก่า แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด สีหน้าที่เห็นยังคงเรียบเฉย
“แกหมายถึงดาด้าน่ะเหรอ”
นรภัทรถามออกไปพลางนึกสะดุ้งอยู่ในใจไปด้วย ซึ่งอาการที่เกิดไม่ใช่เป็นเพราะตื่นเต้นกับเรื่องที่รับฟัง แต่เป็นเพราะตัวเองกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี ราวกับคนเล่าเข้ามาอยู่ในใจเขายังไงยังงั้น
“แหม ไอ้นี่ แล้วเอ็งจะให้ข้าหมายถึงใครล่ะ หรือเอ็งมีแฟนเก่าหลายคนกันวะ” คนเป็นหมอพูดค่อนขอดเข้าให้ เรียกรอยยิ้มที่มุมปากของคนถูกด่านิดหนึ่ง
“ข้าก็ถามออกไปอย่างนั้นเองแล้วตอนนี้เจ้าตัวเป็นไงบ้างล่ะ” คำถามของนรภัทรราวกับถามถึงบุคคลทั่วไปไม่ใช่เป็นอดีตแฟนเก่า