พริมาหันไปมองเจ้าของเสียงก็เห็นร่างสูงของเจ้าของบ้านยืนเรือนผมยุ่งเหยิง ใบหน้าบอกบุญยังไงก็คงไม่รับ แต่มองยังไงก็หล่อชะมัด หญิงสาวคิดแล้วก็ให้สะดุ้งอยู่ในใจ นี่เธอเผลอไปชมเขาหล่อได้ยังไง
“ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นอะไรเท่านั้นเองค่ะ”
“ผมไม่ชอบคนสอดรู้สอดเห็น”
“สอดรู้สอดเห็น” พริมาพูดทวนคำกล่าวหา “ฉันจำไม่ได้ว่าแค่อยากรู้ นี่เรียกว่าสอดรู้สอดเห็นแล้วหรือคะ”
นรภัทรหรี่ตามองคนที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้ตาเขม็ง
“ใช่ เรียกว่าสอดรู้สอดเห็น”
“ฉันแค่อยากรู้เท่านั้นว่าคุณทำงานอะไร คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าที่พาฉันมาอยู่ที่บ้านด้วย เผื่อว่าจะจำอะไรที่ผ่านมาได้บ้าง และการได้รับรู้เรื่องราวหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง อาจเป็นการช่วยกระตุ้นความทรงจำของฉันก็ได้นะคะ”
พริมายกเหตุผลร้อยแปดพันประการมาเพื่อกลบข้อกล่าวหา ที่อีกฝ่ายหาว่าเธอเป็นคนสอดรู้สอดเห็น และดูเหมือนว่าคำพูดของเธอจะได้ผล เพราะดวงหน้าหงิกๆ แต่หล่อบรรเจิดของชายหนุ่มเริ่มคลายลง หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันราวใช้ความคิด
“แล้วคุณคิดว่าผมทำงานอะไร”
คำย้อนถามของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวหันไปมองเอกสารบนโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะตอบน้ำเสียงค่อนข้างมั่นอกมั่นใจ
“นักเขียนนิยาย แล้วรัศมีจันทร์คือนามปากกาของคุณ”
ดวงหน้าของคนถูกทายเรียบสนิทไม่บ่งบอกว่าที่ทายนั้นถูกหรือผิด ทำเอาพริมาเริ่มไม่มั่นใจว่าความคิดตัวเองนั้นถูกต้องหรือเปล่า
“เกือบถูก ผมไม่ใช่นักเขียนนิยาย”
คำตอบไม่ชี้ชัดของชายหนุ่ม ทำให้หัวคิ้วเรียวของคนทายขมวดเข้าหากันก่อนจะคลายออก
“ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าฉันทายถูกเรื่องนามปากกา”
นรภัทรจุดรอยยิ้มหยิ่งๆ บนดวงหน้านิดหนึ่ง
“จะทายถูกหรือทายผิดไม่ใช่ปัญหาของผม ตอนนี้คุณไปชงกาแฟกับเตรียมทำอาหารเช้าให้ผมได้แล้ว”
พูดจบร่างสูงของคนพูดก็เดินผละไปทันที ทำเอาพริมาอ้าปากค้างเพราะเธอยังไม่รู้เลยว่า กาแฟที่อีกฝ่ายสั่งรวมทั้งอาหารนั้นปกติเจ้าตัวกินอะไรเป็นอาหารเช้า
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
“อะไรของคุณอีกล่ะ” นรภัทรถามน้ำเสียงเจือแววหงุดหงิด เพราะเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอนเลย ต้องเขียนบทเพิ่มจากเดิมตามที่ผู้จัดละคร ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เขาให้ความเคารพนับถือต้องการ
“แล้วคุณดื่มกาแฟแบบไหนและปกติคุณกินอะไรเป็นอาหารเช้า”
ดวงตาคู่สวยเกินชายของชายหนุ่มเจ้าของบ้านมองเขม้นไปยังคนถาม
“คุณก็ลองใช้จิตใต้สำนึกของตัวเองคิดดูสิว่า ส่วนใหญ่ผู้ชายควรดื่มกาแฟและอาหารเช้าแบบไหนกัน” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็เดินลิ่วๆ ตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง ทิ้งให้คนถามยืนหน้าเหวอมองตามหลังพลางก่นด่าคนพูดอยู่ในใจ
จิตใต้สำนึกนี่นะ!
แต่จะว่าไปแล้วต้องโทษตัวเองที่เมื่อคืนพูดออกไปแบบนั้น นี่แหละเขาเรียกปลาหมอตายเพราะปาก หญิงสาวคิดพลางก็เดินกลับไปเข้าไปในครัว เรื่องกาแฟนั่นคงไม่เป็นปัญหาเพราะนอกจากน้ำผึ้งขวดใหญ่นั่น เธอก็ไม่เห็นน้ำตาลหรือครีมเทียมวางอยู่เลย
แสดงว่าเจ้าตัวดื่มกาแฟใส่น้ำผึ้งอย่างแน่นอน ส่วนอาหารเช้าเดี๋ยวค่อยคิดว่าจะทำยังไง
ร่างสูงเพรียวของนรภัทรที่สวมกางเกงสีขาวสั้นเหนือเข่า อวดขาขาวๆ ที่เต็มไปด้วยเส้นขนสีดำขึ้นเป็นพรึด สวมเสื้อยืดคอปกสีเดียวกัน วิ่งออกกำลังกายรอบสนามภายในบริเวณบ้าน ซึ่งเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วชายหนุ่มก็จำไม่ได้ กระทั่งเหงื่อไหลโทรมกายจนทำให้อาการหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดีที่เป็นอยู่ค่อยคลายลง
อาการหงุดหงิดจากการที่ต้องเขียนบทละครเพิ่มจากเดิมนั้นพอรับได้ เพราะเป็นงานที่เขารักและพร้อมจะทำ แต่สิ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้เกิดกับชายหนุ่มจนเหลือคณานับ ก็มาจากโทรศัพท์จากคุณย่าของเขา ที่โทร.มาหาและพูดเรื่องเดิมๆ ก่อนที่เขาจะออกมาวิ่งออกกำลังกายนี่แหละ
เรื่องเดิมๆ ที่ว่าก็เรื่องจะให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ตามสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อน
คุณย่านะคุณย่า!
ทำไมไม่ลืมเรื่องนั้นไปเสียที เรื่องตั้งนมนานแล้วยังจะถือเอามาเป็นคำมั่นสัญญา ยังกับบทละครน้ำเน่าที่เขาเขียนก็ไม่ปาน นักเขียนบทหนุ่มคิดพลางส่ายหัวไปพลาง
ขณะกำลังจะก้าวเข้าไปในบ้าน เพื่อดื่มกาแฟกับอาหารเช้าที่เขาสั่งแม่บ้านจำเป็นเอาไว้ เท้าทั้งคู่ก็ต้องชะงักจากเสียงแตรรถยนต์ที่ดังติดๆ กันสามครั้งที่หน้าประตูรั้ว นรภัทรโคลงศีรษะไปมาเพราะเสียงบีบแตรเช่นนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนายแพทย์แทนคุณเพื่อนสนิทของเขา
“ไม่รู้จะบีบหาตะบักตะบวยอะไรนักแค่ครั้งเดียวก็รู้แล้ว”
ชายหนุ่มบ่นพึมพำก่อนจะเดินออกไปเปิดประตู แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดเมื่อเห็นรถยนต์คันหรูสีดำของเพื่อนแล่นเข้ามาจอดภายในบ้าน ไม่นานก็เห็นเจ้าตัวที่ยังอยู่ในชุดเสื้อกาวน์สีขาว ก้าวลงจากรถด้วยท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง
“เอ็งเป็นอะไรวะไอ้หมอทำหน้ายังกับหมาป่วย”
คนเป็นหมอที่ถูกทักว่าหน้าเหมือนหมาป่วย ส่งค้อนให้เพื่อนตามมาด้วยคำด่าอย่างฉุนๆ
“เอ็งจะเปรียบอะไรให้มันดีกว่านี้หน่อยไมได้หรือวะ แหม...เสือกเปรียบว่าหมออย่างข้าทำหน้าเหมือนหมาป่วย”
คนเป็นเพื่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็หน้าเอ็งเป็นแบบนี้จริงๆ นี่หว่า ว่าแต่เมื่อคืนคนไข้เยอะหรือไง”