ตอนที่ 4 กินนม...EP.1
หลังเลิกเรียนภาคบ่ายก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว คนกินจุอย่างทิวาพอนับเวลาหลังจากมื้อเที่ยงเมื่อช่วงสิบเอ็ดโมง ตอนนี้กระเพาะก็ร้องเรียกอย่างบ้าคลั่งแล้ว ในใจยังคงรู้สึกว่าการไปกินนมกับเพื่อนอาจไม่ช่วยบรรเทาความหิวโหยกับตัวตะกละในท้องได้ แต่เพื่อการสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่เธอจึงไม่อยากปฏิเสธใคร
ทิวาไม่ค่อยคุ้นชินกับการไปเที่ยวหลังเลิกเรียนกับเพื่อน ปกติตอนเรียนมัธยมมักจะมีคนขับรถมารับตรงเวลาอยู่เสมอจนไม่สามารถกระดิกตัวไปที่ไหน
เมื่อคิดถึงสมัยเรียนมัธยมที่ต้องอยู่ในกรอบตลอดเวลา เธอรู้สึกว่าชีวิตการเป็นเฟรชชี่ค่อนข้างสดชื่น
ทิวาเดินกลับคอนโดฯ ทันทีหลังเลิกเรียน เพราะคณะอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก ระหว่างทางก็มองสำรวจร้านรวงที่เปิดตรงหลังมอไว้ว่ามีร้านไหนน่ากินบ้าง เมื่อถึงห้องพักความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตั้งแต่ตอนเช้ารวมถึงความหงุดหงิดจากเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทิวาตัดสินใจอาบน้ำก่อนออกไปกับเพื่อน เพราะไหมบอกว่าจะมารับในอีกครึ่งชั่วโมง
เธอโยนทุกอย่างไว้บนเตียงแล้วหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากถอดเสื้อผ้าเสร็จ น้ำอุ่นที่ราดลงบนตัวทำให้ร่างกายที่เครียดเกร็งตลอดทั้งวันค่อยๆ ผ่อนคลาย แม้ว่าจะไม่ดีเท่าการแช่น้ำร้อนแต่ก็ช่วยให้เธอรู้สึกโล่งมากขึ้น
ไอน้ำร้อนเกาะกระจกบานใหญ่ตรงข้ามกับฝักบัวจนเกิดภาพอันพร่ามัว ทิวาขยับมือเช็ดกระจกด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะเมื่อเช้าเธอรีบเกินไปจนไม่ได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเองบ้าง
เมื่อภาพในกระจกค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ร่างครึ่งตัวอันสวยงามของผู้หญิงก็ปรากฏตรงหน้า
สายตาอันแหลมคมของเธอพบเห็นความผิดปกติอย่างรวดเร็ว เมื่อร่องรอยแดงจ้ำเหมือนกลีบกุหลาบที่บางจุดของร่างกายได้จางหายไปอย่างรวดเร็วจนเธอคิดว่ามันเกิดจากอาการแพ้ทางผิวหนัง ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกใจก็คือสิ่งที่ดูเหมือนรอยสักเหนือเนินอกซ้าย
“มาจากไหน...” ทิวาหลุดพึมพำออกมา ขยับเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้นและหวังว่าตัวเองจะตาฝาดไปมากกว่า ดอกไม้
“พีโอนีเหรอ...ใครเอาแทททูมาแกล้งติดตรงนี้ หรือว่าจะเป็นเขา” ทิวาพยายามถูตรงภาพดอกพีโอนีหรือดอกโบตั๋นสีแดงสดที่อยู่เหนือเนินอก ทว่าพยายามถูแรงเท่าไรก็ไม่ช่วยให้มันจางลงแม้แต่น้อย กลับกันแล้วยังทวีความเข้มขึ้นมาราวกับต้องการตอบสนองว่ามันไม่ใช่แค่แทททูที่วัยรุ่นชอบตกแต่งตามผิวหนังเป็นแฟชั่น แต่มันเหมือนกับรอยสักถาวร
แต่ทำไมเธอไม่รู้สึกตัว?
เคยมีคนบอกว่าเวลาสักจะเจ็บมากไม่ใช่เหรอ?
เธอคิดถึงความทรงจำอันรางเลือน รู้สึกได้ว่าริมฝีปากตัวเองถูกกัด รวมไปถึงความเจ็บปวดตรงคอ เมื่อเช้าร่องรอยแดงทั้งตัวทำให้เธอคิดว่าตัวเองถูกย่ำยีจนสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว แต่เมื่อประจำเดือนมาในเช้านี้จึงทำให้เธอไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หากแต่เมื่อเห็นรอยสักตรงจุดที่เป็นจุดลับของร่างกาย ใบหน้าของเธอก็เริ่มเผือดสีเพราะความวิตก
หรือเมื่อคืนเธอจะโดนฉุดไปทดสอบรอยสัก?
“บ้าแล้ว...ท่าทางคนคนนั้นเหมือนเมายาอะไรสักอย่าง ทำเหมือนจะข่มขืนเราด้วยซ้ำ” น้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่ไหลปนกับน้ำร้อนจากฝักบัวทำให้ทิวาเริ่มจิตตก ความบ้าระห่ำบางส่วนกำลังบอกให้เธอบุกไปที่ห้องของผู้ชายคนนั้นเพื่อถามให้เคลียร์
แต่ว่า...
เธอจำไม่ได้ว่าออกมาจากห้องไหน
กระทั่งลืมของไว้ก็มานึกได้เมื่อตั้งสติได้ทีหลัง
ทิวาโกรธความสะเพร่าของตัวเอง โกรธที่ตัวเองเป็นคนขี้ลืมจนลืมเรื่องสำคัญพวกนี้ ปกติหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาทิวามักจะปรึกษาเพื่อนสนิททั้งสองคน ซึ่งตอนนี้สองคนนั้นน่าจะกำลังเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องอยู่
และอีกอย่างเธอไม่กล้าบอกใครว่าตัวเองอาจจะถูกใครบางคน...ขืนใจ
เอาล่ะ...เธอเคยอ่านนิยายบางเรื่อง หรือเรื่องเล่าในแอปพลิเคชั่นต่างๆ บางคนก็บอกว่ากิจกรรมพวกนี้มันเป็นกิจกรรมรื่นเริงอย่างหนึ่ง
แต่ทิวาเขินเกินกว่าจะทนอ่านลงลึกไปอย่างถึงพริกถึงขิง อีกอย่างมีเรื่องเล่าหลายเรื่องที่ใช้ภาษาหยาบคาย หลายเรื่องที่ผันวรรณยุกต์จนเธอคิดว่าตัวเองกำลังทำแบบฝึกหัดหมอภาษา
เพื่อนสนิทสองคนไม่มีใครประสบกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้สักคน
คุณหนูทิวาซึ่งเป็นนกน้อยในกรงทองอย่างเธอจะเข้าใจอะไรพวกนี้กันล่ะ ใจหนึ่งอยากจะถามพี่ฉาย...ตะวันฉาย ที่เธอเพิ่งเจอกับอีกฝ่ายตอนไปคอนเสิร์ตศิลปินที่รัก แต่ดูเหมือนว่าหลังกลับจากคอนเสิร์ตอีกฝ่ายจะหายเข้าไปในกลีบเมฆ เพราะถูกคู่หมั้นลักพาตัวไป
ทิวาคิดถึงผู้ชายหน้าหล่อที่เหมือนไอดอลเกาหลีซึ่งเป็นแฟนของตะวันฉายแล้วอดถอนหายใจไม่ได้
เธอเคยมีความคิดโง่ๆ ว่าวันหนึ่งหากไอดอลที่เธอชอบมาฉุดไปจริงๆ มันอาจจะฟินไปอีกแบบ แต่พอวันนี้คนที่ฉุดเธอไปเป็นใครก็ไม่รู้ ทิวาอยากจะบ้าตาย
ความคิดที่จะมอบคืนแรกให้เจ้าชายในฝัน พังทลายไม่มีชิ้นดี
ไม่ต่างจากเรื่องตลกร้ายที่สโนว์ไวท์หนีจากแม่เลี้ยงใจร้าย แต่กลับมาพบกับคนแคระวิปริตเลยแม้แต่น้อย
ทิวาจมอยู่ในห้วงภวังค์เนิ่นนาน ในหัวคิดฟุ้งซ่าน กระทั่งได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เธอจึงสะดุ้งและรีบเช็ดตัวอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อดูหน้าจอกลับเป็นเบอร์แปลกๆ
หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความตระหนก แต่ก็รับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล”
[เธอหายไปไหน]
เสียงไพเราะของผู้ชายดังขึ้น ทว่าน้ำเสียงเย็นชาที่แฝงความไม่พอใจนั้นทำให้ทิวาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นอกจากคนในครอบครัวแล้วไม่เคยมีใครออกคำสั่งกับเธอ
“คุณเป็นใคร”
[ฉันบอกว่านัดเธอกี่โมง?]
“นัด? ขอโทษนะคะคุณโทรผิด” ทิวากระแทกเสียงด้วยความโมโห กดตัดสายทันทีแล้วเดินกระแทกส้นเท้าไปเปลี่ยนชุด
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง ทิวาแสร้งทำเป็นฮัมเพลงไม่สนใจปลายสาย กระทั่งเธอเปลี่ยนชุดเสร็จจึงเห็นว่าสายที่โทรมาเป็นไหม
[วา เสร็จยัง เราอยู่ใต้คอนโดฯ ]
ทิวายิ้มกับโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิด “โทษที คิดว่าโรคจิตโทรมา เสร็จแล้วกำลังจะลงไป”
[โอเค]
หลังจากที่ไหมวางสายไป ทันใดนั้นมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทิวารับทันทีโดย “ไหม วากำลังลงไป”
[เธอกล้าตัดสายใส่ฉัน...]
น้ำเสียงเย็นชาแฝงความเกรี้ยวกราดดังขึ้นแทบจะทันที ทิวาใจสั่นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ เสียงเขาเหมือนจะสามารถเขย่าประสาทและทำให้เธอคลั่งได้ในวินาทีต่อมา
ทิวามองเบอร์ที่โทรเข้า คุ้นๆ ดูเหมือนจะเป็นสายก่อนหน้านี้
[รีบ...]
“ไอ้โรคจิต” ปลายสายยังไม่ทันพูดจบทิวาก็สวนกลับไปทันที ปกติเธอเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก แต่อีกฝ่ายไม่เพียงไม่บอกชื่อเสียงเรียงนาม ยังออกคำสั่งกับเธอ “ที่บ้านไม่สั่งไม่สอนหรือยังไงว่าควรให้เกียรติคนอื่น ไปหาหนังสือมารยาทผู้ดีอ่านบ้างนะคะ บัย”
เธอกดตัดสายและบล็อกเบอร์นั้นทันที ก่อนจะเก็บของแล้วเดินไปที่ประตู เมื่อเห็นป้ายที่แขวนหน้าประตูจึงชะงักแล้วรีบเดินกลับไปหยิบกุญแจห้องและกระเป๋าเงิน
‘อย่าลืมกุญแจ โทรศัพท์และกระเป๋าเงิน’
ในร้านกาแฟ ชายหนุ่มร่างสูงมองโทรศัพท์มือถือด้วยสายตาเย็นเฉียบ ในมืออีกข้างเป็นกระเป๋าเงินใบเล็กซึ่งมีการ์ดพิมพ์ลายอย่างน่ารักว่า
อย่าลืมเบอร์โทรของตัวเอง
วา 099-88x-xxxx
ใบหน้าหล่อเหลาแผ่ไอเย็นออกมาจนคนที่กำลังชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้องเอ่ยทัก “ไนต์ โมโหไรมาวะ”
ดวงตาคมเหลือบมองเพื่อน กลีบปากบางเฉียบเม้มเป็นเส้นตรง แล้วสบถออกมาเบาๆ “คนโง่”
คนถามปากกระตุก “ไม่ได้ว่าฉันใช่มั้ย”
ลิกไนต์เลิกคิ้ว “อยากรับก็รับไป”
คนเป็นเพื่อนพูดอะไรไม่ออก ยื่นปากทำท่าเป็นงอนด้วยความน้อยใจ “ใช่สิ คนอย่างฉันมันทำไรก็ผิดไปหมด”
ลิกไนต์พ่นล่มหายใจ มองอีกฝ่ายตาขวาง “บาส อยากปิดร้านก่อนเวลามั้ย”
คราวนี้คนงอนไม่สามารถงอนได้อีกต่อไป รีบเปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียงแทบจะทันที “รุ่นพี่ลิกไนต์ครับ กรุณานั่งเป็นนางกวักให้ร้านผมอีกสักสองชั่วโมงเถอะนะครับ” พูดจบแทบจะโค้งคำนับเก้าสิบองศา
ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นหนุ่มฮ็อตประจำคณะ ขนาดออกตัวว่าเป็นพี่ว้ากห้องมืดสาวๆ ทั้งในและนอกคณะยังคลั่งแทบบ้า ขาดแต่เอาป้ายไฟมาชูให้กำลังใจเท่านั้นแหละ ตัวเงินตัวทอง...ตัวเรียกเงินเรียกทองอย่างเพื่อนคนนี้ทำไมเขาจะไม่อยากให้มาที่ร้านนานๆ แต่กว่าจะเชิญคุณชายออกมาช่วยนั่งหล่อในร้านได้ลำบากเหลือเกิน ดีที่วันนี้ไม่มีเชียร์ลิกไนต์ถึงยอมตอบรับคำชวน
พอหนุ่มหล่ออีกคนมาที่ร้าน คนก็แทบเต็มร้าน บางคนถึงกับสั่งเครื่องดื่มและขนมวนไปมาเพื่อแลกกับการนั่งมองหนุ่มหล่อให้นานอีกนิด
เถ้าแก่อย่างเขาจะไม่อารมณ์ดีได้ยังไง แค่โค้งยังธรรมดาไป เหลือแค่ซักกางเกงในให้เพื่อนเท่านั้นแหละที่ยังไม่เคยทำ
ความจริงแล้วลิกไนต์ไม่ชอบการมานั่งให้คนมองเหมือนเป็นหุ่นในตู้โชว์ แต่เพราะวันนี้เขานัดใครบางคนไว้ถึงได้ยอมรับปากเพื่อนมานั่งโง่ๆ แบบนี้
ร่างสูงร้อยแปดสิบเจ็ดเซนติเมตรนั่งเหยียดขาอยู่ตรงมุมหนึ่งที่ใกล้กับเคาน์เตอร์บาร์ของร้าน แม้จะไม่ใช่มุมเด่นแต่ก็เป็นมุมที่คนอยากมองต้องเดินมาที่เคาน์เตอร์เพื่อสั่งกาแฟ ถือเป็นการตลาดของบาส ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเย็นชาราวกับรูปสลักน้ำแข็ง จนเพื่อนสนิทเริ่มเคยชินเพราะหลังจากเขาอกหักเมื่อตอนเข้าปีหนึ่ง ก็ไม่เคยเห็นว่าลิกไนต์จะยิ้มอีกเลย
คนรู้เบื้องลึกแต่ไม่รู้เบื้องหลังได้แต่จินตนาการว่าเพราะรักแรกมันมีได้ครั้งเดียว พออกหักก็ทำให้เสียศูนย์ไปนาน
แต่เขาอาจไม่เคยรู้เลยว่าความจริงแล้วนิสัยเดิมของลิกไนต์ก็เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี