ตอนที่ 3 ความเข้าใจ(ผิด?) EP.2

2469 Words
ตอนที่ 3 ความเข้าใจ(ผิด?) EP.2 ต้องขอบคุณความสะดวกสบายของเทคโนโลยีที่ทำให้เธอมาถึงที่เรียนสายไปแค่ 10 นาที แน่นอนว่าต้องขอบคุณเพิ่มเติมคือแม่บ้านที่รีดเสื้อผ้าให้เธอครบชุดและขาดไม่ได้ก็ต้องขอบพระคุณที่วันนี้เธออาบน้ำแค่สามนาที เอ่อ...ความจริงต้องเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำ จะมีผู้หญิงคนไหนที่เปิดฝักบัวไปพร้อมกับแปรงฟันบ้าง? อย่างน้อยคนอย่างทิวาทำสิ่งนี้เป็นครั้งแรก เธอไม่อยากเอ้อระเหยลอยชายเพื่อดูร่องรอยที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เพราะมันยิ่งทำให้ตัวเองเริ่มจิดตกและใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความจริงในตอนที่อาบน้ำทิวาก็รู้สึกได้ว่าอาการปวดท้องที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมาจากการถูกข่มขืน แต่เป็นเพราะ...ประจำเดือน เมื่อดูบันทึกประจำเดือนในไอแพดระหว่างที่เดินทางก็พบว่าความจริงแล้วประจำเดือนมาตรงเวลาดีจริงๆ แต่เรื่องร่องรอยที่เกิดขึ้นทำให้เธออดผวาในใจไม่ได้... มันไม่สนุกเลยที่จะตื่นมาในห้องของผู้ชายคนหนึ่ง แถมเธอยังจำเขาไม่ได้ ที่สำคัญคือหัวใจกลับไม่รู้สึกรังเกียจเขาอย่างที่คิด ความจริงเธอควรจะรังเกียจสัมผัสนั้น แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจ ดูเหมือนจะมีเรื่องราวเบื้องหลังบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แน่นอนหากว่าเย็นนี้เธอไม่พลาดนัดกับผู้ชายเจ้าของห้อง ทิวาจะรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะเขาเริ่มต้นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเธอที่ถอดเสื้อผ้าตัวเองจนล่อนจ้อน... ดูเหมือนการที่เธอเพิ่งออกจากบ้านเป็นครั้งแรกจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้ว่าตัวเองอ่อนต่อโลกขนาดไหน โชคดีที่เธอขี้ลืม เมื่อวานจึงไม่ได้หยิบโทรศัพท์และกระเป๋าเงินที่ใส่บัตรสำคัญต่างๆ ไว้ ที่สำคัญคือแม่ที่รู้จักเธอดีเกินไปจนสั่งให้ฝากคีย์การ์ดสำรองไว้ที่นิติอีกหนึ่งใบ ไม่อย่างนั้นวันนี้ทิวาต้องแจ้งความและให้ทางนิติเปิดกล้องดูว่าเมื่อคืนเธอเข้าห้องไหนเพื่อทวงของที่เป็นของตัวเองคืน แต่ลึกๆ แล้วเธอไม่กล้าทำแบบนั้น เพราะถ้าเธอแจ้งความ ผู้กำกับต้องต่อสายตรงหาพ่อแม่เธอ เมื่อถึงคราวต้องเช็กกล้องวงจรปิด ทางบ้านต้องรู้แน่ว่าวันที่ลูกสาวอยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก...กลับไปนอนห้องผู้ชายคนหนึ่ง หากเป็นแบบนั้นทิวามั่นใจว่าชาตินี้เธอจะไม่สามารถไปไหนตัวคนเดียวได้อีกต่อไป กระทั่งคิดจะมีเพื่อนหรือทำกิจกรรมในคณะก็ไม่สามารถทำได้ ชีวิตที่ถูกบงการทุกย่างก้าวมันน่าเบื่อและหดหู่ขนาดไหน มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ การถูกควบคุมชีวิตเพราะคำว่าเป็นห่วงของพ่อแม่ สิ่งที่เกิดจากความรักเหล่านี้ราวกับโซ่ตรวนที่ล่ามเธอไว้ไม่ให้มีอิสระ ทุกครั้งที่เพื่อนได้ไปออกทริปต่างประเทศหรือในประเทศด้วยกัน เธอมักจะมองด้วยความอิจฉา เพราะคุณหนูทิวาผู้ที่พ่อแม่เข้าใจว่าเธอว่านอนสอนง่าย เวลาไปไหนต้องไปกับคนในครอบครัวเสมอ ความจริงแล้วทิวามีความหัวขบถขั้นรุนแรง เพียงแต่ไม่ชอบแสดงออกต่อหน้าผู้ใหญ่ ครั้งนี้ที่เธอยืนหยัดจะอยู่นอกบ้านก็เพราะเธอบอกว่าจะไม่เรียนต่อหากพ่อแม่ยังคงบังคับเธอเหมือนเดิม เธอใช้ข้ออ้างเรื่องการเรียนมาเพื่อให้ตัวเองได้รับอิสระ หากแต่ชีวิตอิสระมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ เรื่องเมื่อคืนนี้เป็นความเสี่ยงแรก ทิวาไม่รู้ว่ามันจะมีครั้งที่สองที่สามอีกไหม ต่อไปเธออาจต้องพยายามทำตัวให้เข้มแข็งรังแกยากเข้าไว้ ผู้ชายถึงจะไม่กล้าลองดีกับเธอ ทิวาคิดอย่างสวยหรู...อย่างน้อยก็ต้องหาเพื่อนที่โหดๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เผื่อว่าเวลาเกิดเรื่องเธอจะได้ขอความคุ้มครอง หรือจะหาเพื่อนเป็นมาเฟียดีนะ... ขณะเดียวกันเมื่อพยายามนึกหน้าผู้ชายคนนั้น กลับไม่เหลืออะไรเลยเว้นแต่ความรู้สึก...กระหาย อาจเพราะไม่ได้กินข้าวเช้า ทิวาไม่ได้ใส่ใจมาก เมื่อมาถึงคลาสเรียนเธอก็เลือกที่จะนั่งข้างหลังสุด พยายามทำตัวเป็นเด็กเกเรที่ใครๆ ก็ไม่สนใจ สภาพผมชี้ฟูเพราะความเร่งรีบทำให้คนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ทิวาไม่ใส่ใจมากนัก เธอวางแฟ้มที่รุ่นพี่แจกให้กับทุกคนไว้ข้างตัว จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือเพื่อดูว่าอาจารย์สอนถึงหน้าไหน เวลาเดียวกันผู้ชายคนหนึ่งก็พูดขึ้น “เธอ เปิดหน้ายี่สิบ” ทิวาหันไปตามเสียง ผู้ชายคนนั้นนั่งห่างไปสองช่วงตัว ใบหน้าอาจเรียกได้ว่าหล่อในบรรดาผู้ชายทั้งหมด เครื่องหน้าของผู้ชายต้นตำรับหนุ่มเมืองเหนือโดดเด่นด้วยผิวสีแทนอย่างคนสุขภาพดี ท่าทางเหมือนเด็กเกเรที่แต่งตัวไม่ถูกระเบียบเพราะทรงผมที่กระเซอะกระเซิง แต่ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ในเครื่องแบบของหนุ่มวิศวะปี 1 ออร่าความหล่อก็ชาร์จเพิ่มขึ้นอีก 70% อืม...อาหารตาชั้นหนึ่ง แต่ยังสู้ไอดอลที่เธอชอบไม่ได้ “ขอบคุณ” ทิวาพยักหน้าส่งรอยยิ้มแข็งทื่อให้อีกฝ่าย หางตาเหลือบเห็นชื่อเขาบนแฟ้ม กวิน... พ่อแม่บอกว่าผู้ชายหน้าตาดีมักจะไว้ใจไม่ได้ คุณป๋ายิ่งบอกเธอว่าผู้ชายหน้าตาดีนอกจากท่านและพี่ชายทั้งสองคนแล้วไม่มีดีสักคน ทิวาจึงพยายามรักษาระยะห่างจากผู้ชายทุกคน ชุดความคิดแบบอคตินี้ทำให้เธอไม่อยากหาเพื่อนเป็นผู้ชายหน้าตาดี ขณะที่ฟังอาจารย์สอนแคลคูลัส ทิวาก็ยืดคอมองหาเพื่อนรหัสข้างกันที่เป็นผู้หญิง เธอจำได้ว่าอีกฝ่ายชื่อไหม มาจากจังหวัดใกล้เคียง ตั้งแต่วันรายงานตัวเธอก็ได้ทำความรู้จักกับไหมและแลกเปลี่ยนเบอร์โทรกันไว้ ทว่าเช้านี้เป็นเพราะเธอไม่ได้อยู่ในห้องจึงไม่เห็นข้อความและสายเรียกเข้าที่ไหมพยายามติดต่อ ตอนนี้พออยู่ในชั้นเรียนจึงอดมองหาไม่ได้ เมื่อสายตาสอดส่องไปเรื่อยๆ จึงเห็นว่าไหมนั่งอยู่แถวที่สามของสโลป ข้างตัวมีเพื่อนอีกคนซึ่งรหัสถัดจากไหม เป็นเพื่อนร่วมเซคเดียวกับเธอ ทิวาจำชื่อคนอื่นไม่ได้เพราะเพิ่งเคยเจอกันเมื่อวานตอนเข้าเชียร์ หลังจากถูกว้ากจนฟังไม่รู้เรื่องเธอก็รีบกลับคอนโดฯ เพราะกลัวว่าร้านข้าวจะปิดก่อน แต่คนอื่นๆ นัดกันไปกินข้าวร้านอื่นต่อ ทิวาผู้ซึ่งไม่เคยไปเที่ยวกับคนแปลกหน้าจึงไม่กล้าไปกับคนเหล่านั้น รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ไม่ยอมรวมกลุ่มกับคนอื่น บางทีเธออาจไม่ทรมานจากความหิวตอนกลางคืน บางทีเธออาจไม่แอบไปหาอะไรกินตอนดึก และบางทีเธออาจไม่ถูกใครบางคนลากตัวไปทำอะไรบางอย่างแถมยังโดนชิ่งในตอนเช้าเสียอีก ...แน่นอนทิวาไม่ทันคิดว่าเธอยังคงอยู่ในห้องของผู้ชายคนนั้น แถมยังไม่สังเกตว่าสิ่งของของเธออยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียง ทว่าโลกนี้ไม่มียาแก้เสียใจ ไม่มีเครื่องไทม์แมชชีน ไม่มีคำว่าถ้าหาก...เพราะมันผ่านมาแล้ว ทิวาเก็บอาการว้าเหว่แล้วนั่งฟังอาจารย์สอนเงียบๆ ไม่ได้คุยกับคนที่นั่งถัดไป เธอจมสู่โลกของตัวเอง ขณะเดียวกันประสาทส่วนหนึ่งก็ให้ความสนใจกับเนื้อหาหน้ากระดานที่อาจารย์สอน นอกจากคนที่บ้านและครูที่โรงเรียนบางคนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าทิวามีความสามารถพิเศษ เพราะเธอสามารถแยกสมาธิทำหลายสิ่งหลายอย่างที่สนใจได้ในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อเกิดความตกใจหรือมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เธอจะลืมบางสิ่งที่เธอไม่ให้ความสำคัญทันที บางครั้งก็กลายเป็นว่าเธอลืมเรื่องสำคัญบางอย่างที่รับปากกับคนอื่นไว้เพราะมัวแต่จดจ่อกับเรื่องที่ตัวเองกำลังทำ หลายครั้งที่เพื่อนในกลุ่มไม่พอใจจนแอบแบนเธอเงียบๆ ทิวาเริ่มเคยชินกับการอยู่คนเดียว เพราะความเข้มงวดของพ่อและแม่ เธอจึงไม่สามารถไปทำกิจกรรมกับเพื่อนคนอื่นได้ จนถูกล้อว่าเป็นลูกแหง่ เป็นคุณหนูบ้านรวยที่ทำอะไรไม่เป็น ทิวาไม่เข้าใจว่าสังคมวัยมัธยมต้องทำตัวแบบไหนถึงจะถูกใจคนอื่น เพราะเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอมีแค่สองคน ต้องเรียกว่ามีคนสองคนที่ยอมเป็นเพื่อนกับเด็กมีปัญหาอย่างเธอ เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์เอกฟิสิกส์ เขาเป็นเด็กในโครงการความสามารถพิเศษจากค่ายโอลิมปิกวิชาการปีเดียวกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงเรียนอยู่คณะแพทย์ สำหรับเพื่อนทั้งสองแม้ว่าจะไม่ได้พบกันบ่อยนัก แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ เพราะพ่อแม่ของทั้งสามสนิทสนมกันดี อาจเพราะฐานะทางบ้านที่ไม่ต่างกันมากทำให้ทิวาสามารถคบกับทั้งสองได้อย่างสะดวกใจเพราะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ทว่าเจแปนเพื่อนผู้ชายของเธอเป็นหนุ่มฮ็อตของโรงเรียน มักจะมีปัญหาเรื่องผู้หญิงเข้ามาพัวพันอยู่เนืองๆ ขณะเดียวกันเพื่อนผู้หญิงอย่างพรีมปกติคอยช่วยทั้งทิวาและเจแปนแก้ไขปัญหาส่วนตัว ตอนนี้กลายเป็นคนที่เรียนหนักที่สุดในหมู่เพื่อนไปแล้ว ดูเหมือนว่าในอนาคตเธอต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้น คาบแคลหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาเรียนชั่วโมงครึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้กินข้าวเช้าอย่างทิวาทำให้เธอทรมานมาก หลังจากออกตึกสโลปเสร็จ เธอก็เดินตามกลิ่นอาหารไปยังโรงอาหารที่ทุกคนมักจะเรียกติดปากกันว่าโรงอาหารไบโอ ไหมบอกว่าโรงอาหารนี้เมื่อก่อนขึ้นชื่อเรื่องอาหารมังสวิรัติ ส่วนสัตว์กินเนื้ออย่างทิวาเธอไม่แม้แต่จะเฉียดกรายอาหารเหล่านั้น ในเมื่อพระเจ้าประทานเนื้อสัตว์มาให้มนุษย์ได้ลิ้มรส ทิวาคิดว่าเธอไม่สามารถกลับไปเป็นสัตว์กินพืชอย่างเดียวได้ วันนี้เธอรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าค่อนข้างเฉียบแหลม เพราะเธอได้กลิ่นอาหารมาตั้งแต่ตอนที่เรียนแคลลูลัสแล้ว หลังจากแยกแยะได้ว่ามีกลิ่นของอาหารชนิดไหนบ้างตอนเรียนจึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะกินอะไร “วา ไปซื้อก่อนเดี๋ยวเรานั่งจองโต๊ะให้” ปัญหาของเด็กปีหนึ่งวิศวะคือการถือแฟ้มไปทุกที่ แต่เมื่อถึงเวลากินข้าวทิวารู้สึกว่ามันไม่สะดวกนัก อาศัยที่ว่าไม่มีรุ่นพี่ฝากแฟ้มไว้กับเพื่อนแล้วเดินไปสั่งอาหาร “หมดแล้วค่ะน้อง เหลือแค่ไข่เจียวกับผัดเผ็ดลูกชิ้น” “...” คนฟังแอบร้องไห้ในใจ ใบหน้าสวยซีดเผือด สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง ผัดฉ่าหอยลาย... กะเพราปลาหมึก... เหลือแต่วิญญาณและถาดอาหาร... แม่ค้าเห็นสีหน้าผิดหวังของทิวา ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เอามั้ยน้อง” ทิวาเม้มริมฝีปาก แอบสะอื้นในอกแล้วพยักหน้าอย่างยอมจำนน เพราะหากไม่กินตอนนี้ เธอไม่อยากหันไปหาอาหารมังสวิรัติอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆ “เอาค่ะเอา” เธอรีบตอบ อดถามไม่ได้ว่า “พี่คะ ทำไมอาหารหมดเร็วจัง” “เพิ่งเปิดเทอมพี่ยังกะปริมาณไม่แม่น วันนี้มีแต่คณะวิศวะมาเรียนตั้งแต่แปดโมงเลยหมดไวจ้ะ” “...” ผิดที่เธอเองแหละเพราะวันนี้มาสาย หากมากินข้าวก่อนเข้าเรียนป่านนี้คงไม่ต้องพลาดอาหารจานโปรด เป็นไปได้ว่ากลิ่นหอมตอนเรียนเกิดจากการที่เซคก่อนหน้านี้มากินข้าวหลังเลิกเรียนแน่ๆ ทิวากลับไปที่โต๊ะ รอกระทั่งไหมและมุก เพื่อนร่วมเซคของเธอกลับมาจึงเริ่มลงมือกินพร้อมกัน “วันนี้คาบบ่ายต้องไปเรียนตึกไหนเหรอไหม” ทิวาถาม เพราะเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับตึกคณะวิทย์ เอ่อ...ความจริงเฟรชชี่อย่างเธอไม่ค่อยรู้จักตึกสักที่ อาศัยว่าไหมมีแฟนเป็นรุ่นพี่เลยได้รู้อะไรเยอะกว่าชาวบ้านเขา “น่าจะ RB1 นะ เรียนห้องสโลป” “เตรียมเสื้อแขนยาวมากันมั้ย ได้ข่าวว่าแอร์เย็นมาก” มุกถาม ทิวาชะงัก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไหมเตือนเมื่อวานเรื่องห้องเรียนฟิสิกส์ “ไม่ได้เตรียมมาอะ ไม่หนาวขนาดนั้นมั้ง” มุกพยักหน้าหงึกหงัก “อาจจะไม่หนาวอย่างที่ลือก็ได้ เพราะเขาว่ากันว่าต้องห้องเรียนที่ภาคเราอะ ถึงเรียกว่าขั้วโลกของจริง” ระหว่างกินข้าวเป็นไหมและมุกที่สนทนาโต้ตอบกัน ส่วนทิวาซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องกับชาวบ้านเขาก็ฟังเงียบๆ แอบเก็บข้อมูลไว้ในใจ กะว่ากลับห้องไปจะถามเจแปนว่าตึกคณะวิทย์ตึกไหนอยู่ตรงไหนบ้าง “เออวา เย็นนี้คนในเซคนัดกินนมกัน ไปกินมั้ย” ไหมถามขึ้น “หือ นัดกันตอนไหน” ทิวาหูผึ่ง กินนม...แค่คิดก็ลอบเลียปาก อยากกินเค้ก ปังเย็นหรืออะไรสักอย่าง... ไหมเลิกคิ้ว “ในกลุ่มเมเจอร์ไง ไม่อ่านกรุ๊ปแชตอีกละเหรอ” “แหะๆ น่าจะลืมน่ะ” ทิวาหัวเราะแห้งๆ เธอเป็นพวกชอบดองแชต ไม่ชอบไปแย่งกันคุย เลยไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง เรียกว่าหากเป็นรถไฟก็ตกขบวนอย่างสมบูรณ์ “แล้วไปมั้ย ไม่มีเชียร์นะเย็นนี้” “ไปสิไป ต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อกันก่อนปะ แฟ้มมันหนักอะ” สำหรับเด็กปีหนึ่งมีกฎยิบย่อยจำพวกห้ามแต่งชุดนักศึกษาไปยังสถานที่อโคจร หรือหากไม่ต้องการถือแฟ้มต้องปลดซ็อก...หมายถึงแต่งตัวผิดระเบียบไม่ให้คนมองออกว่าใส่ชุดนักศึกษาอยู่ แต่ความจริงมันก็มองออกง่ายนิดเดียว เพราะชุดนักศึกษาของคณะเธอเด่นที่สุดในมหาวิทยาลัยแล้ว “เอาของไปไว้ที่ห้องก่อนเดี๋ยวเราไปรับ” ไหมมีรถยนต์ส่วนตัว ดังนั้นจึงอาสาไปรับเพื่อน ส่วนทิวารถของเธอถูกจอดทิ้งไว้ตั้งแต่วันย้ายเข้าคอนโดฯ ไม่เคยไปแตะต้องมันอีกเลยเพราะเธอขี้เกียจขับ แอบรู้สึกผิดเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะเอาเปรียบเพื่อน แต่พอคิดว่าตัวเองยังขับรถไม่ค่อยแข็ง การพึ่งพาเพื่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด “โอเค”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD