“เกลตื่นแล้วค่ะ”
ฉันใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนัก และเมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่างของบ้านก็พบว่าพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหาร ส่วนเสียงเมื่อกี้เป็นของสายธาร...เมียใหม่พ่อ
เธอส่งยิ้มให้ฉันอย่างอ่อนหวาน ถ้าใครไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของเธอ คงมองว่าเธอเป็นนางฟ้าตกสวรรค์ และใช่ เพราะฉันรู้จนหมดไส้หมดพุง ถึงมองออกว่าสิ่งที่เธอทำอยู่คือการเสแสร้ง ทว่าการเสแสร้งของเธอ พ่อมองว่าเป็นความหวังดีที่เธอมีให้ฉันอย่างบริสุทธิ์ใจ
อยากจะอ้วก...
“มาคุยกันก่อน” ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่กินข้าวเช้า แต่เมื่อเจอสายตาตำหนิกับน้ำเสียงดุดันของคนเป็นพ่อ ฉันจึงต้องทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามท่าน “ได้ข่าวว่าเมื่อคืนเมาเหรอ แกดื่มอีกแล้ว?”
“ใช่ เกลดื่ม” ฉันยอมรับแล้วชำเลืองตามองสายธารที่นั่งอยู่ข้างพ่อ รอยยิ้มหวานๆ เมื่อครู่นี้กลายเป็นรอยยิ้มฉาบพิษไปแล้วเรียบร้อย “สายธารฟ้องสินะ”
“พูดให้มันดีๆ อย่างน้อยสายธารก็มีศักดิ์เป็นแม่ของแก” น้ำเสียงขุ่นเขียวของพ่อทำให้ฉันสูดลมหายใจเข้าปอด
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับฉันไม่ต่ำกว่าห้าสิบครั้งนับตั้งแต่สายธารก้าวเข้ามาในบ้าน มันกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อพ่อ มีส่วนในการตัดสินใจของท่าน
ส่วนฉัน...แค่ขยับตัวนิดเดียวก็ผิดแล้ว
“เกลมีแม่คนเดียว” ฉันบอก “ต่อให้พ่อมีเมียใหม่อีกสักกี่คน คนพวกนั้นก็มาแทนแม่ไม่ได้”
“แต่แม่แกตายแล้ว!” พ่อขึ้นเสียง ราวกับต้องการปลุกให้ฉันตื่นจากความฝัน
อ้อ ใช่สิ
แม่ตายแล้ว...
“สาเหตุมันมาจากพ่อไง” ฉันจ้องหน้าพ่อโดยที่ใบหน้ายังคงราบเรียบ
ต่อให้หัวใจเจ็บปวดจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง แต่ฉันเลือกที่จะเก็บความทรมานนั้นไว้กับตัวเอง เป็นตายร้ายดียังไง...ฉันจะไม่เผยด้านอ่อนแอให้สายธารเห็น “เพราะพ่อนอกใจแม่ไปหามัน”
“เกล! พ่อไม่เคยสอนให้แกก้าวร้าว” พ่อตาแดง ไม่ได้จะร้องไห้หรอก แค่โกรธที่ฉันพูดความจริงแล้วมันกระแทกใจมากกว่า
“คุณคะ ไม่เป็นไรค่ะ” สายธารเอื้อมมือไปแตะแขนพ่อ ใช้น้ำเสียงนุ่มนวลลื่นหู ท่าทีของเธอเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าที่ต่อให้ถูกกระทำก็พร้อมจะให้อภัย “เกลยังเด็ก”
สายธารเคลื่อนสายตามาทางฉัน
ใช่ เมื่อเทียบกับสายธารแล้ว ฉันยังเด็ก...เด็กกว่าเธอมาก
แต่แปลกนะ ทั้งๆ ที่อายุเยอะกว่าฉันเป็นสิบยี่สิบปี แต่ยังกล้านอนถ่างขาให้ผัวชาวบ้านจนได้เข้ามาอยู่ในที่ที่ตัวเองอยากอยู่ แถมหลายๆ ครั้งยังพยายามไซโคพ่อ ทำให้ท่านหงุดหงิดเรื่องฉันอยู่บ่อยๆ
สายธาร...เธอนี่มันดอกทองจริงๆ
“อายุ 21 ไม่เด็กแล้วนะ โตพอจะคิดได้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ” พ่อยังคงต่อว่าฉัน เหมือนท่านมองเห็นความผิดของคนอื่นหมดยกเว้นความผิดของตัวเอง
อย่าให้ได้ร่ายเลยว่าฉันกับแม่ต้องเจออะไรบ้างจากผู้ชายคนนี้...คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเสาหลักของบ้าน คนที่เคยบอกว่ารักแม่ยิ่งกว่าสิ่งใด
...คนที่เคยอบอุ่นและอ่อนโยนกับฉัน
แม่น่ะยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ
แต่พ่อ...เหมือนตัวตนของท่านได้ตายไปแล้ว
“เกลไปก่อนนะคะ” ฉันมองพ่อที่กำลังเดือดจัดอย่างเฉยชา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากบ้านทันที
นาทีถัดมาฉันพบว่ารถของตัวเองจอดอยู่หน้าบ้าน คิดว่าเมื่อคืนคงมีเพื่อนสักคนขับรถมาส่งฉันเพราะเมาจนขับกลับเองไม่ได้
ฉันไม่ได้ตั้งคำถามอะไรมากมายนัก เลือกที่จะสตาร์ตรถแล้วขับออกมาจากบริเวณบ้านทันที วันนี้มีเรียนเที่ยง ยังเหลือเวลาอีกถมเถ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่รีบร้อน
แต่จังหวะที่รถเคลื่อนตัวผ่านจุดๆ หนึ่งแล้วบังเอิญหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังตกที่นั่งลำบาก ฉันก็ค่อยๆ ชะลอรถจนกระทั่งจอดเทียบฟุตบาทในที่สุด
ฉันควรเข้าไปช่วย...
แต่เลือกที่จะนั่งมองภาพเหตุการณ์นั้นอย่างเงียบเชียบ
ผู้หญิงคนนั้นคือหนึ่งในกลุ่มเพื่อนฉันเอง แต่เราไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่
มันมีหลายสาเหตุ...แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกที
ดูจากรูปการแล้ว เหมือนมันจะไปสร้างศัตรูมาเพิ่มอีกแล้วล่ะมั้ง ถึงได้ถูกลากมาจัดการในจุดที่คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่
ซึ่งฉันถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะขนาดกับเพื่อนในกลุ่ม...ยังสร้างรอยร้าวต่อกันได้ขนาดนี้
“...”
ฉันนั่งมองภาพนั้นผ่านบานกระจกรถซึ่งติดฟิล์มทึบ มันถูกผู้หญิงอีกคนผลักจนเซ ด้วยส่วนสูงและสัดส่วนที่ต่างกัน ไหนจะจำนวนคนของอีกฝ่ายที่มีมากกว่า ทำให้มันเสียเปรียบและดูอ่อนปวกเปียกไปเลย
ไหนว่าเก่ง...
ฉันยังคงเฉยชา
กระทั่งมันถูกอีกคนตบจนหน้าหันและล้มลงไปกองกับพื้น วูบนั้นมันพยายามสอดส่ายสายตาเหมือนต้องการความช่วยเหลือ ก่อนจะหันมาเจอรถของฉันที่จอดอยู่พอดี
กระจกติดฟิล์มแบบนี้มันมองไม่เห็นหน้าฉันหรอก แต่มันจำยี่ห้อและทะเบียนรถฉันได้ถึงได้ทำตาเป็นประกายอย่างมีความหวัง
‘เกล ช่วยด้วย’
ฉันอ่านปากมันทั้งๆ ที่มีระยะห่างระหว่างกันหลายสิบเมตร
‘เกลๆๆ มาช่วยที’
ฉันยิ้มและยังคงนั่งอยู่ในรถ ทำเป็นลืมไปได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเมินเฉยต่อคำร้องขอของฉันแล้วเลือกผู้ชายมากกว่าเพื่อน ฉันเคยเกือบตายก็เพราะมัน โดนกับตัวเองดูสักครั้งคงไม่เป็นไร
ฉันยังรอดมาได้ มันเองก็คงไม่ตาย
อย่างมากคงแค่ปากแตก เสียโฉม หรืออาจจะพิการ...
‘อึก...ไม่ มะ...ไม่เอา’
พอเห็นหน้ามัน ฉับพลันภาพในอดีตก็ผุดขึ้นมาในหัว เหตุการณ์นั้นเหมือนแผ่นหนังที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ...กระทั่งฉันตัดสินใจกระชากความทรงจำน่ารังเกียจออกจากสมองแล้วลากสายตากลับมา ความแค้นที่เกาะกุมหัวใจทำให้ฉันเมินเฉยต่อคำร้องขอของมันอย่างเลือดเย็น
และใช่ สิ่งที่ฉันทำเป็นลำดับถัดมาคือขับรถจากไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้มันเผชิญหน้ากับผู้หญิงพวกนั้นเพียงลำพัง
เจ็บบ้างก็ดี เจ็บให้มันได้สักเสี้ยวหนึ่งของฉัน
ครืดๆ
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน การสั่นเตือนของโทรศัพท์ก็ทำให้ฉันต้องใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนเบาะข้างๆ แล้วกดรับโดยไม่ได้มองก่อนว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
[ตื่นยัง] กระทั่งปลายสายกรอกเสียงถาม ฉันจึงได้คำตอบ
“ถ้าไม่ตื่นจะรับสายนายแบบนี้ไหม...ขุน?” ฉันถามกลับ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะร้ายๆ กลับมา และใช่...ชื่อของเขาคือขุน เป็นเพื่อนผู้ชายที่ฉันสนิทด้วย เรารู้จักกันตอนที่ฉันประสบปัญหาบางอย่างและได้เขาช่วยเหลือเอาไว้ “โทรมาทำไม กำลังขับรถ”
[ก็เมื่อคืนเธอเมาเลยอยากรู้ว่าตื่นมาจะขับรถไหวไหม กลัวแฮงค์]
“ตอนนี้โอเค” ฉันตอบไปตามความจริง ก่อนจะถามต่อ “เมื่อคืนใครมาส่งฉัน นายหรือเปล่า?”
[...] แต่คำถามนั้นทำให้ปลายสายเงียบไป
“ทำไม พูด” ฉันยังคงโทนเสียงไว้เหมือนเดิม แต่คำพูดก็สื่อชัดเจนแล้วว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้
[ไอ้เอย์ น้องชายเธอ]
“...เหอะ” ฉันแค่นหัวเราะออกมาเมื่อได้รู้ความจริงเรื่องนี้
[เมื่อคืนพอมาถึงมันก็ลากเธอออกไปเลย ไม่ได้ทำไรใช่ไหม?]
“อืม” ฉันตอบสั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการซักถามจากขุน ส่วนหนึ่งคือรู้อยู่เต็มอกว่าเมื่อคืนเอย์ทำอะไรกับฉันไว้บ้าง
สังเกตจากถุงยางที่ใช้แล้ว ฉันเห็นมีมากกว่าหนึ่ง...นั่นเท่ากับว่าเมื่อคืนระหว่างเรามันเกิดขึ้นไม่ต่ำกว่าสองครั้ง โดยที่ฉันเองก็จำอะไรแทบไม่ได้เลย
เอย์รู้ว่าฉันรังเกียจเขา แค่มองหน้าและคุยกันดีๆ ยังไม่อยากทำ ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่ฉันเสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นตอนเมา ตอนไม่สบาย เขามักจะฉวยโอกาสทำเรื่องบ้าๆ แบบนี้ทุกที
ฉันถึงได้บอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเรา
หลังจากนั้นฉันคุยกับขุนต่ออีกสองสามประโยคก่อนจะวางสาย
ทว่าวางสายได้เพียงไม่นานก็มีใครอีกคนโทรเข้ามา ฉันที่ตรึงสองตาไว้เพียงท้องถนนจึงกดรับโดยไม่มองหน้าจออีกครั้ง
“ว่า?”
[ยัยลูกนิสัยเสีย...] เสียงเข้มที่แฝงความคุกรุ่นทำให้ฉันได้คำตอบตั้งแต่วินาทีแรก จะเป็นใครถ้าไม่ใช่...พ่อ [แกทิ้งน้องได้ไง]
“...?”
ฉันไม่เข้าใจ
[รถน้องเสีย กลับมารับน้องไปเรียนด้วยเดี๋ยวนี้!]
‘น้อง’ ที่ว่าคงหมายถึงเอย์ที่ ‘นอนกับฉัน’ เมื่อคืนสินะ
“แล้วมันขึ้นรถเมล์ไม่เป็นเหรอพ่อ” ฉันถามเพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องมารับผิดชอบ
อีกอย่าง...เอย์มีทั้งบิ๊กไบค์ที่เขาทำงานเก็บเงินตั้งแต่เด็กเพื่อซื้อมัน ไหนจะรถยนต์ยี่ห้อดังของผัวเก่าสายธารอีก จะบอกว่ารถเสียทั้งสองคันพร้อมกันว่างั้น?
“เกลมาไกลแล้ว ให้มันหาทางไปเรียนเอง”
เพราะฉันรู้ว่านี่เป็นแผนของเอย์จึงได้กล้าปฏิเสธ และต่อให้รถของเขาเสียขึ้นมาจริงๆ ฉันก็ไม่ย้อนกลับไปรับแน่
[พ่อต้องรีบไปทำธุระกับสายธาร ทางที่พ่อไปมันคนละทางกับมหา’ลัยด้วย] พ่ออธิบายเมื่อฉันบอกปัดความต้องการของท่านที่มีต่อเอย์ [นี่ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำสั่ง]
ฉันแทบจะหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มข้นของคนเป็นพ่อ
ดูสิ่งที่พ่อปฏิบัติกับลูกในไส้อย่างฉันและลูกเมียใหม่อย่างเอย์สิ
ดี...ดีจริงๆ
“แล้วเกลจะได้อะไร”
คนอย่างฉัน...ถ้าต้องทำอะไรที่ไม่อยากทำก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน การที่ต้องเสียเวลาเพื่อวกรถกลับไปรับเขา ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ฉันไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก
[แกยังจะมาต่อรองอีกหรือไง] พ่อดูหัวเสียไม่น้อย ถ้าฉันอยู่ตรงหน้าท่านคงหนีไม่พ้นการถูกต่อว่า หนักขึ้นมาหน่อยคงถูกตีจนช้ำ...เหมือนอย่างที่ฉันเคยเจอมา “ไปเอานิสัยนี้มาจากใครนะ พ่ออยากรู้จริงๆ”
“...” ฉันเงียบ โทรศัพท์ในมือถูกฉันบีบอย่างแรง...แรงจนความเจ็บแผ่ลามไปทั่วฝ่ามือ
[ค่อยว่ากันอีกที มารับน้องก่อน เหมือนน้องจะเรียนสิบเอ็ดโมง] คำบอกกล่าวของท่านทำให้ฉันต้องเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ซึ่งเป็นข้างเดียวกับมือที่กำลังบังคับพวงมาลัย
สิบโมงครึ่งแล้ว...
“ค่ะ” ฉันขานรับสั้นๆ อย่างจำใจ
คำว่า ‘ค่อยว่ากันอีกที’ ของท่านมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ แต่เชื่อได้เลยว่าฉันจะไม่ยอมให้การกล้ำกลืนนี้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์
หลังจากที่พ่อวางสาย ฉันก็หาทางยูเทิร์นกลับ แต่...
End Describe
Aey Describe
ผมกำลังแกล้งเกล
ความจริงวันนี้ผมไม่มีเรียน ผมโกหกพ่อเธอว่ารถเสียและมีเรียนสิบเอ็ดโมง แต่ตอนนี้สิบเอ็ดโมงครึ่งเข้าไปแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่ายัยแม่มดจะปรากฏตัว
เมื่อมันนานเกินไปจนมีความคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะเมินเฉยและจงใจปล่อยให้รอ ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาเธอทันที
แต่รู้ไหม...เธอไม่รับสายผม
ถึงแม้เธออาจต่อรองกับพ่อเพื่อแลกกับการเจียดเวลามารับผมไปเรียน แต่ผมว่าเธอแกร่งพอจะมองว่าการถูกพ่อบริภาษหรือโดนลงโทษเป็นเรื่องเล็กน้อย ดีไม่ดีเธออาจมองว่ามันโคตรจะไร้สาระด้วยซ้ำ
เธออยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องแคร์ใคร
เกล เกวารินทร์...ผมรู้จักเธอดี