Gale Describe
4 ปีก่อน ณ โรงอาหารกลางของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
เพล้ง!
“อีโง่ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ!”
พลั่ก!
คำด่านั้นสาดใส่ฉันพร้อมแรงผลักมหาศาล ด้วยความที่มัวแต่ตื่นตระหนกและหวาดกลัว ทำให้ฉันซึ่งเดิมทีสู้ใครไม่ได้อยู่แล้วถลาไปตามแรงก่อนจะล้มลงจนได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ ดังตามมา แน่นอนว่าทันทีที่หัวเข่ากระแทกพื้น...ความเจ็บปวดเป็นสิ่งแรกที่โจมตีฉัน
“...” ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมทั้งก้มหน้าลง มองเศษอาหารกับจานที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เพียงไม่นานก็เงยหน้าขึ้น ตอนนั้นจึงพบว่าผู้หญิงคนเดิมกับเพื่อนของเธอกำลังใช้สายตาชนิดหนึ่งมองฉัน
เป็นสายตาที่แม้แต่เด็กอนุบาลยังมองออกเลยว่ากำลังโดนดูถูก
และใช่...ถึงแม้เหตุการณ์เมื่อกี้เป็นความจงใจของใครอีกคนที่เดินเข้ามากระแทกฉันจนทำให้เกิดเรื่อง แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้อธิบายจนปากฉีกถึงหู ก็อย่าหวังว่าคนพวกนี้จะเปิดใจรับฟัง
หรือต่อให้ได้ฟังความจริงแล้ว ยังไงในสายตาของคนกลุ่มนี้ ฉันก็คืออีเฉิ่ม อีแว่น และอีหน้าโง่อยู่ดี...
เพื่อนร่วมชั้นมองฉันเป็นเหมือนเบ๊ที่คอยรับใช้และอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการถูกข่มเหงรังแก
ในแต่ละวันฉันได้แผลกลับบ้านไม่ต่ำกว่าห้าจุด แผลทางกายน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่บาดแผลทางจิตใจมันสาหัสมาก ฉันต้องแบกรับความปวดร้าวแบบนั้นมานาน...นานจนความเจ็บปวดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความแค้น
“มองทำไม แกเป็นคนทำก็เก็บสิ” ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน...ชื่อเพลง
เธอบอกว่าตัวเองแสนจะเฟียซ แต่เธอคงแยกระหว่างคำว่า ‘เฟียซ’ กับ ‘เหี้ย’ ไม่ออกล่ะมั้ง ฉัน...ทำได้แต่ด่าในใจ
“เราไม่ได้ตั้งใจนะ” ฉันเค้นเสียงที่สั่นระริกออกไป
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มเหยียดหยัน แม้ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่รอยยิ้มนั้นไม่ต่างอะไรกับการด่าฉันด้วยถ้อยคำแรงๆ เลยสักนิด
เห็นไหม...คนพวกนี้ไม่ฟังหรอก
ต่อให้กรีดร้องจนสุดเสียง ตราบใดที่คนๆ นั้นคือฉัน...มันก็ไร้ความหมาย
เปล่าประโยชน์ชะมัดเลยเกล
“จะยอมเก็บดีๆ หรือให้ฉันเอาวีรกรรมต่างๆ ไปบอกพ่อของแก”
เพลงรู้ว่าตัวเองได้เปรียบกว่าฉันหลายขุม ไม่แปลกที่เธอจะหยิบเรื่องพ่อมาข่มขู่กัน
ยอมรับว่านัยน์ตาคู่นั้นยามจ้องมองฉันทั้งเลือดเย็นและน่ากลัว...นี่เป็นสายตาของคนที่อายุเพียง 17 ปีเท่านั้น
โลกเรามันเปลี่ยนไปแล้ว
คนเลวไม่จำเป็นต้องอายุมากหรือเป็นผู้ใหญ่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม หรือบางทีก็อยู่ที่ ‘กมลสันดาน’ ล้วนๆ
เด็กอายุ 10 ขวบยังรังแกเพื่อนจนเข้าโรงพยาบาลได้
แล้วนับประสาอะไรกับเพลงอายุ 17 ปี...คนที่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เรียนดี กิจกรรมเด่น
เธอเคยทำพฤติกรรมแบบนี้กับคนอื่นเหมือนกัน แต่ไม่เคยถูกลงโทษ ถ้าถามว่าทำไม...คำตอบง่ายๆ คือพ่อของเธอเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน
แฟร์สุดๆ ไปเลย
“...เราจะเก็บ” เพราะเสียเปรียบเต็มประตู ฉันจึงไม่มีทางเลือก ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมด้วยการเก็บซากจานอย่างช่วยไม่ได้
‘ไม่เป็นไร’ ฉันบอกตัวเอง...และในชีวิตนี้ฉันพูดคำนี้มาไม่ต่ำกว่า 200 ครั้ง
จนกระทั่งฉันได้เจอ ‘ผู้ชายคนนั้น’ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ปัจจุบัน
มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกประสาทเสีย...
หนึ่งในนั้นคือการตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่แล้วพบว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเพียงคนเดียวอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับมีผู้ชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยเปล่ากับรอยเล็บมากมายบนตัวนอนอยู่ข้างๆ กัน...
เพียะ!
ไวเท่าความคิด ฉันใช้มือฟาดลงกลางศีรษะของอีกฝ่ายทันที ทำเอาเขาขมวดคิ้วตอบรับกลับมา ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นทั้งที่ยังสะลึมสะลือ
“เมื่อไหร่จะหยุดทำตัวเร่ร่อนมานอนห้องคนอื่นสักที”
ทันทีที่นัยน์ตาคมกริบถูกเปิดแล้วสะท้อนภาพฉัน...ฉันไม่รอให้เขาได้ปริปากพูดอะไรก็ยิงคำถามที่ต่อให้ไม่มีการกระชากกระชั้น แต่มั่นใจว่าคนฟังต้องเข้าใจสภาพอารมณ์ของฉันในตอนนี้ดี
ที่ถามแบบนี้เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอเขาในตอนเช้า มันไม่แปลกก็จริง แต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรชาชิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสภาพเปลือยๆ ของเราสองคน
“นี่บ้านเธอ”
เสียงทุ้มต่ำที่ฟังแล้วมีเสน่ห์แต่น่ารังเกียจสำหรับฉันดังขึ้น
เขายังนอนอยู่บนเตียงของฉัน แถมยังจ้องมองฉันด้วยสายตาเฉื่อยชา
ชื่อของเขาคือเอย์
“รู้แล้วก็ไสหัวไป”
ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางประตู
ถ้าไม่จำเป็นฉันจะไม่มีเรื่องกับพวกปลายแถว แต่การเจียดเวลาคุยด้วยในครั้งนี้...ส่วนหนึ่งมาจากการที่เรามีสถานะใกล้เคียงการเป็น ‘พี่น้อง’ มากกว่า
ฉันแค่บอกว่า ‘ใกล้เคียง’ แต่ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นจริงๆ เพราะต่อให้แม่ของเขาเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้านได้ไม่นานในฐานะเมียใหม่พ่อ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องญาติดีด้วย
ครอบครัวฉันเรียกได้ว่าร่ำรวย มีเงินใช้ได้ทั้งปีทั้งชาติ ธุรกิจด้านดนตรีซึ่งพ่อเป็นคนก่อตั้งกำลังไปได้สวยและถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้ การที่สายธาร...แม่ของเอย์เข้ามาในช่วงที่พ่อกำลังขาขึ้น ทำให้ฉันคิดไปเองแล้วว่าเธอมาเพื่อเกาะพ่อฉันกิน
ไม่มีปัญญาหาเงินใช้ก็ทำตัวน่าสมเพชด้วยการบีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสาร แถมยังเชิดหน้าชูคอทำตัวเป็นใหญ่ในบ้านอย่างหน้าไม่อาย
เห็นแล้วขยะแขยงจริงๆ
“แต่ตอนนี้ก็เหมือนบ้านฉัน” น้ำเสียงของเอย์เรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน “หรือเธอจะเถียง...”
“...”
ฉันปรายตามอง ไม่อยากเปลืองน้ำลายไปกับการบริภาษเขา เพราะสุดท้ายแล้วภาษาคนก็ไม่มีผลกับคนจำพวกนี้
และแน่นอน...ฉันจะไม่ตั้งคำถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเราสองคน
เพราะต่อให้รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ กับการเจอเอย์ในสภาพเปล่าเปลือยบนเตียงตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้สำคัญขนาดที่ฉันจะมานั่งโอดครวญ
ก็แค่ไอ้บัดซบคนหนึ่ง
เพราะความหน้าด้านหน้าทนของเอย์ บวกกับการที่ฉันรู้นิสัยเขาเป็นอย่างดี สุดท้ายจึงปล่อยให้เขานอนอยู่บนเตียงต่อไป ส่วนตัวเองลุกขึ้นเตรียมอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน ระหว่างนั้นสองตาฉันเหลือบเห็นชุดของเราสองคนกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น และเหนือสิ่งอื่นใด...ฉันเห็นถุงยางอนามัยใช้แล้วตกอยู่ไม่ไกลจากปลายเท้าตัวเอง
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว
ฉันเก็บความคิดหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในหัวอย่างเงียบเชียบ ไม่ตื่นตระหนกและทำเพียงแค่เดินผ่านสิ่งเหล่านั้นไปอย่างเฉยชา
อย่าหวังว่าวิธีเดิมๆ จะใช้ได้ผล
อย่าหวัง...