“งั้นโอเคๆ ตัวเล็กเอาก็ได้ ขอบคุณคร้าบ~” เพราะความเร่งรีบและอะไรหลายๆ อย่างทำให้ฉันต้องรับมาอย่างจำใจ จากนั้นก็ตรงไปหาพี่จุนอย่างด่วนจี๋ชนิดที่ว่าถ้ากลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนได้คงกลิ้งไปเเล้ว
ซึ่งทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถของเขาปุ๊บ...
บรื้น!!
รถคันหรูก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว! และมันเร็วมากจนฉันไหลไปกระแทกคอนโซลรถอย่างช่วยไม่ได้ คือฉันน่ะ... ยังไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลยด้วยซ้ำ
“พะ พี่จุน” ฉันพยายามเอามือยันคอนโซลหน้ารถและประคองตัวเองอย่างสุดความสามารถ ระหว่างนั้นก็เปล่งเสียงเรียกเจ้าของร่างสูงที่ไม่ได้มองหน้ากันแม้แต่นิดเพราะอยากรู้ว่าอะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้ “พี่จุนขับรถเร็วเกินไปแล้วอ่ะ”
“...” พี่จุนไม่ตอบ แถมยังเพิ่มความเร็วของรถจนฉันตัวสั่นไปหมดด้วยความกลัว
“พี่จุนขา...”
“รำคาญ” ฉันถึงกับผงะเมื่อเสียงทุ้มเจือไปด้วยความฉุนกึกดังขึ้นมาอย่างเยือกเย็น ถึงจะเป็นเพียงวลีสั้นกระชับ แต่ก็มากพอจะสั่งให้ฉันนั่งคอหดอยู่ตรงนี้ ไม่กล้าเปล่งเสียง แค่ขยับตัวยังกลัว...
พี่จุนเป็นอะไรไป ทำไมต้องพาลและหงุดหงิดใส่กันขนาดนี้ด้วย
นิสัยไม่ดีอีกแล้ว...
เพราะพี่จุนขับรถเร็วมาก... ครั้งนี้เราเลยมาถึงคอนโดกันเร็วกว่าปกติ
ตลอดทางฉันทำได้แต่ภาวนาให้เราสองคนปลอดภัย ก็พี่จุนน่ะขับโฉบไปโฉบมาไม่กลัวตายสักนิด มีหลายครั้งที่ฉันต้องหลับตาปี๋เพราะไม่กล้ามองท้องถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถรา
แน่นอนว่าระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไรเลย จนกระทั่งตอนนี้... ทั้งฉันและเขายังถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจกระชากกระชั้นของคนตัวสูงที่เดินนำหน้าเข้าห้องไป
ส่วนฉันน่ะ เดินตามเขาต้อยๆ อย่างระแวดระวัง เกรงว่าทำอะไรพลาดแล้วจะไปกระตุกต่อมเขาเข้าไง
“พะ พี่จุน” แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็สูดลมหายใจเข้าปอด รวบรวมความกล้าทำลายความอึดอัดทั้งหมดด้วยการขานเรียกชื่อเขาอย่างตะกุกตะกัก เป็นเวลาเดียวกันที่พี่จุนหยุดเท้าลง ทว่ายังคงหันหลังให้กัน “พี่เป็นอะไร คือว่า... บอกตัวเล็กได้ ตัวเล็กรับฟังเก่งนะ”
ฉันถามอย่างเป็นห่วง ลืมไปแล้วว่าต้องโกรธ ต้องงอนเขา
“รับดอกไม้มันมาทำไม” พี่จุนไม่ตอบและเลือกที่จะถามกลับมาจนฉันต้องเอียงคอเล็กน้อย
จะว่าไป ฉันก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองถือดอกไม้ของเดียวเข้ามาในห้องด้วย เดี๋ยวเอาไปเสียบแจกันดีกว่า...
“อ้อ ตัวเล็กเกรงใจไง อ๊ะ!”
พึ่บ!
ยังอธิบายไม่ทันจบ พี่จุนก็หันกลับมาแล้วกระชากช่อดอกไม้จากมือฉันไปอย่างถือวิสาสะ
ในขณะที่ฉันยืนอึ้งและทำตัวไม่ถูก เขาก็จัดการปามันลงพื้นราวกับเป็นของไร้ค่า ยิ่งกว่านั้นนะ... ยังสำทับด้วยการใช้เท้าเหยียบซ้ำตอกย้ำความโมโหที่ยังคงฉายวาวอยู่ในดวงตาคมกริบของเขา
“อยากได้ก็บอก ไม่ต้องอ้างว่าเกรงใจ” อะไรนะ?
“พี่จุน! เอาเท้าออกไปนะ มาเหยียบทำไมเนี่ย” ฉันย่อตัวลงนั่งและยกมือตีขาเขาหลายทีด้วยความไม่พอใจ
ถึงฉันจะไม่อยากได้เท่าไหร่ก็เถอะ แต่เอามาทำเเบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ
“เสียดายมากหรือไง” พี่จุนถามเมื่อฉันตัดสินใจผลักเขาออกไปแล้วก้มเก็บซากดอกกุหลาบที่แบนแต๊ดแต๋อยู่บนพื้น กลีบของมันกระจุยกระจายไปหมดเลย กระดาษสาที่ห่อหุ้มอย่างสวยงามก่อนหน้านี้ก็หลุดลุ่ยออกจากช่ออย่างน่าสงสารด้วย
“พี่จุนนิสัยไม่ดีอีกแล้ว ตัวเล็กไม่ชอบ!” ฉันหยัดตัวขึ้นเมื่อเก็บซากกุหลาบทั้งหมดเสร็จ
“เก็บทำไม เอาไปบูชาเหรอ” พี่จุนหลุบตามองซากกุหลาบในมือฉัน “เอาไปทิ้ง” ก่อนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ แต่เพราะฉันไม่ยอมทำตามและเตรียมเดินหนีเข้าห้อง มือหนาจึงดึงหนึ่งในกุหลาบที่หลุดออกจากช่อไป
เขาทำท่าจะโยนมันทิ้งทางหน้าต่าง ในขณะที่ฉันพยายามดึงกลับมา
ครูด...
เเต่เเล้วก็ต้องรีบปล่อยมืออย่างเร่งด่วนเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างครูดกับฝ่ามือของเขา...
พอสังเกตดูดีๆ จึงได้คำตอบว่าพี่จุนน่ะจับส่วนก้านที่ยังมีหนาม และการที่ฉันออกแรงกระชากเป็นผลให้หนามแหลมๆ ไถลกับฝ่ามือของเขาจนเลือดออก!
ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงได้ห่อกระดาษสาหนาแน่นแบบนี้ เพราะไม่ได้เอาหนามออกดีๆ นี่เอง
หะ ให้ตายสิ
“ตะ ตัวเล็กไม่ได้ตั้งใจ” ฉันหน้าซีด รีบวางซากกุหลาบบนโซฟาแล้วถลาเข้าไปดูอาการเขาด้วยความตกใจ และฉันแทบจะปล่อยโฮเมื่อเห็นบาดแผลกับเลือดบนฝ่าหนา
"..."
เพราะฉันคนเดียวเลย
ตัวเล็กนิสัยไม่ดี... ทำพี่จุนเลือดออก
“เดี๋ยวตัวเล็กทำแผลให้...”
“...ไม่ต้อง” พี่จุนปัดมือฉันออกเบาๆ แต่ก็มากพอจะทำให้ฉันหน้าเสียและอยากร้องไห้หนักกว่าเดิม ฉันเงยหน้าขึ้นเพื่อมองเขา พยายามค้นหาคำตอบ แต่พี่จุนกลับใช้ความเฉยชาจดจ้องฉัน “พี่ไม่ชอบความขี้สงสารของตัวเล็ก”
“...”
“ไม่รู้เหรอว่าการสงสารหรือเกรงใจคนไปทั่วมันไม่ต่างกับการอ่อยเรี่ยราด” ฉันสะอึก เม้มริมฝีปากเพื่อกลั้นก้อนสะอื้นที่ตีตื้นขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ
แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวจนต้องปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาขณะจ้องหน้าพี่จุน
ฉันเห็นเขาแสดงความวูบไหวด้วยนะ เเต่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่เลย
“ตัวเล็กไม่รู้ว่าวันนี้พี่จุนเป็นอะไร แต่ตัวเล็กน่ะ...ไม่ได้อ่อยใครเลยนะ” ฉันอธิบายพร้อมเสียงสะอื้นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ ระหว่างนั้นก็ก้าวเท้าถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง “แค่เกรงใจมันผิดตรงไหนเหรอคะ”
“...”
“แล้วตัวเล็กก็ไม่ได้สงสารพี่จุนด้วย ตัวเล็กแค่เป็นห่วง” ฉันหลุบตามองฝ่ามือของเขาที่ยังคงมีเลือดไหล ไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมพี่จุนถึงเอาเรื่องเดียวกับเรื่องตัวเองมารวมกันได้ “แต่ตอนนี้ตัวเล็กเกลียดพี่จุนแล้ว!!”
ฉันตะเบ็งเสียงใส่ก่อนจะวิ่งออกมาข้างนอกโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่สนแล้ว ไม่เอาแล้ว...
ต้องไปที่ไหนสักที่ ที่ไหนก็ได้
ที่ที่ไม่มีพี่จุน ที่ที่ปราศจากเขา
ฉันตะเบ็งเสียงใส่ก่อนจะวิ่งออกมาข้างนอกโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่สนแล้ว ตัวเล็กไม่เอาแล้ว...
ฉันวิ่งออกมา...
น้ำตายังไงไหลไม่หยุดเลยอ่ะ ไม่รู้ว่ากำลังเสียใจ น้อยใจ หรือเป็นอะไรกันแน่
“เกลียดแล้วนะ” ฉันพึมพำเมื่อวิ่งมาถึงป้ายรถเมล์ที่ไม่มีใครเลย มันเงียบมากและมืดมากด้วย
ฉันรู้สึกกลัวแต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนดีเลยตัดสินใจนั่งลงตรงป้าย มองรถบนท้องถนนที่แล่นไปแล่นมาพร้อมเสียงสะอื้น สองมือก็ยกปาดน้ำตาเป็นสิบๆ ครั้ง แต่ทำไมมันไม่หมดไปสักทีนะ
กลิ่นเลือดจางๆ ของพี่จุนที่ติดมือมายิ่งทำให้ฉันเบ้หน้างอแงหนักกว่าเดิมอีก
ฉันนั่งอยู่นี้ตรงคนเดียวร่วมหลายนาที กระทั่งรถเมล์คันหนึ่งเคลื่อนมาจอดตรงหน้า...
ภาพในวันนั้นไหลย้อนเข้ามาและทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนตัวสั่น
แต่ว่านะ ฉันแค่อยากไปจากที่นี่ไง มันน้อยใจจนไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ให้เขาหาตัวเจอ
วันนี้บนรถคนค่อนข้างเยอะ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นผู้หญิง ไม่มีคนท่าทางน่ากลัวเหมือนครั้งนั้นด้วย คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ
ก็แค่นั่งไปเรื่อยๆ สุดป้ายเมื่อไหร่ค่อยลงก็ได้...
ไม่เห็นจะยากเลย