ตอนที่ 7 แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ

3700 Words
ตอนที่ 7 แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ในที่สุดญาตาวีก็ได้มาถึงหน่วยพิทักษ์ป่าในความรับผิดชอบของนาวี ป้ายบอกชื่อสถานที่ด้านหน้าทำให้เธอยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก แววตายาวรีรีบสอดส่ายไปทั่วบริเวณเพื่อหาที่จอดรถที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด เมื่อได้แล้วจึงดับเครื่องยนต์เพื่อที่จะเข้าไปด้านในตัวอาคารขนาดไม่ใหญ่นักที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล ขาเรียวสวยก้าวลงมาจากรถอวดเรือนร่างสมส่วนในเดรสเข้ารูปที่เจ้าตัวชื่นชอบ ตัวเสื้อท่อนบนเป็นลายขวางเย็บตัดต่อกับกระโปรงสั้นเต่อสีเขียวใบไม้อวดท่อนขานวลเนียน เท้าเรียวเล็กไร้รอยหยาบกร้านซ่อนอยู่ภายใต้รองเท้าทรงทันสมัยคุมโทนเข้ากันกับชุด ร่างกลมกลึงก้าวเดินตรงไปยังตัวอาคารไม้ด้านหน้า พร้อมขนมที่เธอหอบหิ้วติดมือมา หวังใช้ผูกสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในเขตนี้เอาไว้ จากที่ได้คุยกับหัวหน้าอุทยานฯ เมื่อวันก่อน ทำให้เธอได้รู้ว่านาวีทำงานเป็นหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าในเขตนี้ และเรื่องที่เขามีเมียและลูกแล้วนั้นเธอเข้าใจผิดไปเอง เพียงได้รู้สถานะที่แท้จริงของเขาความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองแทบจะในทันที ความอยากเอาชนะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอพาร่างมาปรากฎกาย ณ ที่นี่ในวันนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอลงทุนเดินหน้าเข้าหาผู้ชายโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกลับมา “สวัสดีค่ะ” ญาตาวีเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน หญิงสาวสอดส่ายสายตามองไปรอบบริเวณ แต่เธอไม่เห็นแม้เงาของคนที่กำลังอยากพบในตอนนี้ “สะ…สวัสดีครับ” เสียงเจ้าหน้าที่ทักทายกลับไปแทบจะพร้อมเพรียงกัน หนึ่งในนั้นรีบลุกขึ้นยืนเพื่อเดินออกไปจัดเตรียมหาที่นั่งให้แขกซึ่งเป็นสุภาพสตรีเพียงหนึ่งเดียว ญาตาวียื่นถุงหลายใบส่งให้เจ้าหน้าที่คนนั้นรับเอามาถือไว้ "ขนมค่ะ ดรีมเอามาฝากทุกคนที่นี่" "ขอบคุณครับ" หนึ่งในนั้นรับมาถือเอาไว้อย่างงงๆ ด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าหญิงสาวเบื้องหน้ามีธุระกับใคร แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจไม่น้อย ที่นานๆ ทีจะมีคนนำขนมหายากเข้ามาเป็นลาภปากของเจ้าหน้าที่ที่คลุกคลีอยู่แต่ในป่าอย่างพวกเขา บางครั้งยังอดคิดด้วยความน้อยใจไม่ได้ว่าอาชีพของพวกเขานั้นกำลังถูกโลกลืมไม่มีใครคิดจะมาสนใจเท่าไหร่นัก “เอ่อ…ดรีม…ดรีมมาพบคุณนาวีค่ะ” "นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นแขกคุณวีเหรอครับ" "อะ...เอ่อ...ค่ะ" “เฮ้ย…แฟนหัวหน้าว่ะ ชัวร์เลย” เสียงกระซิบกระซาบอีกมุมหนึ่งดังแว่วมา ญาตาวีรับรู้ได้ ด้วยสัญชาตญาณว่าตนกำลังตกเป็นเป้าสายตา ซึ่งพวกเขาต่างมองมาที่เธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย “ใช่เหรอ” “ไม่ใช่แล้วจะมาหาทำไม” “เอ่อ…มีอะไรน่าสงสัยหรือคะ” ญาตาวีเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเห็นสองหนุ่มเบื้องหน้ายังคงกระซิบกระซาบกันไม่เลิก “ปะ…เปล่าครับ ไม่มีอะไร” “คุณนาวีไม่อยู่เหรอคะ” “มีธุระอะไรกับผม” ภาพหญิงสาวที่นั่งยิ้มรอท่าอยู่ทำให้นาวีถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่ ที่จริงแล้วเขาแปลกใจตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเธอนั่งคุยอยู่กับเจ้าหน้าที่แล้ว ญาตาวีไม่ตอบ กลับส่งยิ้มไปให้ชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับพร้อมส่งสายตาเฉยชาจับจ้องมาทางตน “อะไร! ไปไหนคะ” ญาตาวีมีท่าทีตกใจเล็กน้อย เมื่อนาวีคว้าแขนเธอให้เดินตามเข้าไปในห้อง พฤติกรรมที่ทั้งคู่แสดงออกมายิ่งเป็นการตอกย้ำให้ทุกคนในที่นี้ได้รับรู้ว่าแท้จริงแล้วเธอคือคนพิเศษของหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าแห่งนี้ บานประตูถูกปิดลงเพื่อกั้นความเป็นส่วนตัวภายในกับโลกภายนอกเอาไว้ นาวีสะบัดแขนเล็กออกอย่างแรงคล้ายรังเกียจ “อะไรของคุณ คุณพาฉันเข้ามาในนี้ทำไม” “เรื่องของผม เพราะผมต้องถามคุณมากกว่าว่ามาทำอะไรที่นี่ ไม่มีงานมีการทำหรือครับ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นท้าวเอวด้วยความไม่พอใจ สายตาไล่สำรวจการแต่งกายของหญิงสาวเบื้องหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าดังเช่นทุกครั้ง แม้จะเตือนตัวเองว่าเธอไม่น่าสนใจสำหรับเขา แต่น่าแปลก ที่พบเห็นกันเมื่อไหร่ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือการมองสำรวจร่างกายของเธอ “ฉันเข้ามาเที่ยวแถวนี้ แต่บังเอิญหลงทาง” ญาตาวีพยายามหาคำตอบที่คิดว่าใช้ได้ที่สุด แต่นั่นกลับเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายแทบจะในทันที “หลงทาง? พูดใหม่สิ คุณนี่นะหลงทาง เข้าใจหลงซะด้วยนะครับ” “จริงๆ นะ ฉันกลับไม่ถูก พอดีเห็นที่นี่เป็นที่ทำการเลยแวะมาถามทางก็เท่านั้น จู่ๆ คุณก็ทะเล่อทะล่าเข้ามา” คำบอกเล่านั้นมาพร้อมกับแววตายาวรีที่เริ่มสั่นระริก มันทำให้หัวใจหนุ่มถึงกับอ่อนยวบลงไปเล็กน้อย หากอีกฝ่ายสังเกตเห็นจะรับรู้ถึงได้ความอาทรที่ฉายอยู่ในแววตาเย็นชานั่น แต่เพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความหมางเมินเช่นเดิม ด้วยคิดว่านี่คือมารยาหญิงที่แสนอันตราย มีผู้ชายมากมายต้องเจ็บช้ำเพราะลุ่มหลงในมารยาล่อหลอกมาแล้วนับไม่ถ้วน ชายหนุ่มพยายามบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่เป็นหนึ่งในนั้นเด็ดขาด “มาเที่ยวป่าแต่แต่งตัวแบบนี้นี่นะ” คำพูดนั้นมาพร้อมกับสายตาโลมเลียไปทั่วร่าง ญาตาวีรีบยกมือขึ้นปิดบังสองเต้าอวบอิ่ม เมื่อสายตาของเขาหยุดนิ่งอย่างไม่เกรงใจ คล้ายต้องการกลั่นแกล้งให้เธอรู้สึกอับอายจนรีบถอยกลับไปจากที่นี่โดยเร็ว “อย่ามองฉันแบบนั้นนะ” “ถ้ารู้ว่าไม่อยากถูกมองแล้วจะแต่งตัวแบบนี้ออกมาจากบ้านทำไมล่ะครับ นี่มันในป่าในเขานะคุณหัดกลัวเสียบ้างสิ เห็นมั้ยเมื่อสักครู่นี้ทุกคนมองคุณเป็นตาเดียว แต่เจ้าหน้าที่ผมไม่กลัวหรอก ผมกลัวว่าคุณจะไปปะหน้าเข้ากับโจรเสียก่อนน่ะสิ” “คุณหึงฉันใช่ไหม” นาวีที่กำลังยกน้ำขึ้นดื่มถึงกับพ่นน้ำกลับเข้าแก้วตามเดิม เมื่อได้ฟังถ้อยคำแสลงหูจากหญิงสาวเบื้องหน้า "พูดใหม่สิ” “คุณรีบพาฉันมาในนี้ก็เพราะไม่อยากให้ใครมอง แท้จริงแล้วก็แอบคิดอะไรกับฉันใช่ไหม” หญิงสาวรุกหนัก สายตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนเชื่อมเชิญชวน การเดินหน้าจีบผู้ชายก่อนไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับญาตาวี เนื่องจากสังคมตะวันตกสอนให้เธอมีค่านิยมต่างไปจากสังคมไทย "อะไรสิงปากที่ทำให้คุณช่างกล้าพูดออกมา" "เปล๊า ฉันก็แค่พูดไปตามเนื้อผ้าน่ะ" ท่าทางยักไหล่อย่างคนมั่นใจ เรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากอีก ฝ่ายขึ้นมาทันที “หึ…ยังงั้นเหรอ แต่จะว่าไปแล้ว คุณมันก็น่า...” เมื่ออีกฝ่ายเสนอ เขาจึงรีบสนองด้วยการรับมุก ชายหนุ่มค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปใกล้ร่างกลมกลึง จนกระทั่งร่างสูงประชิดกายสาวในระยะหายใจรด สายตาเย็นเยียบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นสายตาวาววับราวกับพญาราชสีห์กำลังจะขย้ำสมันน้อยที่หลงเข้ามาในอาณาเขตของตน “น่าอะไร! ดะ…เดี๋ยว” ญาตาวีถอยหลังกรูด เมื่อท่าทีที่เปลี่ยนไปราวคนละขั้วของชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเสียดื้อๆ "คิดว่าไง น่าอะไรดีน๊า..." "ว้าย!" ญาตาวีร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่ออีกฝ่ายพุ่งพรวดเข้ามาหาเธอด้วยความรวดเร็ว หญิงสาวรีบวิ่งหนีไปอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ด้วยเริ่มไม่ไว้วางใจกับอาการคล้ายผีเข้าของชายหนุ่มเบื้องหน้า "ให้ตายสิดรีม คุณกำลังทำให้ผมตื่นเต้นที่สุด" ชายหนุ่มแกล้งกัดริมฝีปากตนเองสวมบทบาทโจรโรคจิต ขณะจับจ้องหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยสายตาวาววับน่ากลัว “คนบ้า คนโรคจิต” "เพิ่งรู้เหรอ หึ หึ" ยิ่งถอยกลับยิ่งจนมุม เมื่อร่างสูงเดินต้อนเธอไปจนชิดผนัง ห้อง ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะยกขึ้นยันผนังเอาไว้ เขากักเธอไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรงหมดหนทางที่เธอจะดิ้นรนหนีได้อีกต่อไป ญาตาวียืนนิ่งอยู่ในพันธนาการอ้อมแขนอย่างยอมจำนน สายตาวาววับจับจ้องใบหน้าสวยที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องสำอางนิ่งนาน ราวกับต้องการมองให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งของหัวใจที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งฉาบเคลือบเอาไว้ "ญาตาวี..." น้ำเสียงทุ้มนุ่มพร้อมแววตาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนเชื่อม ราวกับมีหลายร่างอยู่ในคนๆ เดียว ต่างจากท่าทีในตอนแรกมากนัก เพียงเขามีท่าทีอ่อนโยนใส่ หัวใจดวงน้อยของเธอถึงกับเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวยืนนิ่งดังถูกสาป หัวใจเต้นแรงราวกับจะทะลุออกมาด้านนอก เมื่อปลายนิ้มแกร่งไล้ลงบนกลีบปากนุ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีชมพูสด หญิงสาวหลับตาพริ้มเมื่อสมองจินตนาการไปไกลถึงเหตุการณ์ในภาพยนตร์หลายเรื่องที่เธอเคยดู ‘จูบ! เขากำลังจะจูบเธอ อย่ายอมง่ายๆ นะ ญาตาวี’ สติสัมปชัญญะที่ยังพอหลงเหลือบอกเธออย่างนั้น แม้อีกใจหนึ่งจะคิดแย้งกัน สองมือเตรียมยกขึ้นเพื่อที่จะดันอกแกร่งให้ออกห่าง 'ขัดขืนสิ เธอแค่อยากเอาชนะเท่านั้น ห้ามเปลืองตัวเด็ดขาด' หญิงสาวใจเต้นระรัวราวกลองศึก เมื่อเธอกำลังจะเสียจูบ แรกให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า ความอยากรู้อยากเห็นประกอบกับความพึงใจในตัวเขาอยู่ลึกๆ ทำให้เธอสับสนอยู่ในหัวใจว่าจะยืนเฉยหรือจะดิ้นรนจนสุดกำลังดี นาวีโน้มใบหน้าลงไปจนอีกฝ่ายรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดลงมา ชั่ววินาทีที่ญาตาวีกำลังจะตัดสินใจนั้น หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นซ่านบริเวณใบหู “สาวน้อย…ถ้าอยากให้ผมจูบ คุณต้องไปเปลี่ยนแปลงตัวเองมาใหม่นะ” เหมือนมีใครกระชากลงมาจากสวรรค์จนตกกระแทกพื้นอย่างแรง เมื่อน้ำเสียงคล้ายหยันกระซิบชิดใบหูอ่อนนุ่ม ญาตาวีเบิกตากว้างหน้าม้านด้วยความอับอายเหลือแสน เมื่อถูกชายหนุ่มเบื้องหน้าปฏิเสธกลับมา เขาหลอกให้เธอตายใจ หลอกให้เธอเคลิบเคลิ้ม แล้วกลับกระชากเธอออกมาจากความฝันนั่นราวกับเป็นเรื่องสนุก “บะ…บ้า ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ” หญิงสาวทำเป็นเสียงดังเพื่อกลบเกลื่อนอาการอับอาย คิดละอายใจในความใจง่ายของตนเอง หากเธอขัดขืนสักนิดเมื่อรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาคงมองเธอมีค่ามากกว่านี้แทนที่จะถูกตอกหน้าหงายกลับมา “คุณลองเป็นตัวของตัวเองดูสิ ไม่แน่นะ ผมอาจจะพิจารณาดูใหม่ก็ได้” “ฉันก็เป็นฉัน…ตอนนี้มันน่าเกลียดตรงไหนคะ” “อยากรู้ใช่ไหม" ชายหนุ่มพูดขณะเดินไปหยิบบางอย่างจากโต๊ะติดมือกลับมา "ผมจะบอกให้ ไม่ต้องทามาขนาดนี้ก็ได้” กระดาษทิชชูในกล่องถูกดึงออกมาสองสามแผ่น ก่อนยื่นไปเช็ดลิปสติกออกจากกลีบปากนุ่มในขณะที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งหลัก จนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นกุมริมฝีปากเอาไว้เมื่อความรู้สึกแสบร้อนแผ่ซ่านไปทั่ว “โอ๊ย! คนบ้า เบาๆ หน่อยสิ มันเจ็บนะ” “แล้วนี่…ไม่ต้องเขียนมาได้ไหม” "นี่! จะบ้าเหรอ ถือวิสาสะอะไรมาทำกับฉันแบบนี้ คนเถื่อน คนบ้า" "หึ...หึ...ด่าอีกสิ ยิ่งด่ายิ่งชอบ" อายไลน์เนอร์ที่เขียนมาจนคมกริบถูกชายหนุ่มใช้กระดาษทิชชูเช็ดถูไปมาจนเลอะเทอะกระจายไปรอบขอบตา ญาตาวีพยายามส่ายหน้าหนี มือแข็งราวคีมเหล็กจึงจับปลายคางเธอเอาไว้จนไม่สามารถขยับหนีได้อีก ดวงหน้ารูปไข่ถูกชายหนุ่มบังคับให้แหงนเงยขึ้นมาอีกครั้ง “ตาแมวนี่ก็ไม่ต้องใส่มาได้ไหม” ชายหนุ่มทำท่าจะจิ้มนิ้วเข้าไปในดวงตา ด้วยสัญชาตญาณ ญาตาวีรีบหลับตาปี๋พลางเบี่ยงหน้าหลบด้วยความรวดเร็ว “จะบ้าเหรอ! มาจิ้มตาฉันทำไม” ญาตาวีแหวขึ้นมาด้วยความเหลืออด เมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังหาเรื่องกลั่นแกล้งเธอให้ทนไม่ไหว กำปั้นเล็กรัวไปที่แผงอกกว้างไม่ยั้ง ก่อนที่จะถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยมือแข็งราวคีมเหล็กอีกครั้ง หญิงสาวยืนหอบหายใจเนื่องจากเมื่อสักครู่ออกแรงไปไม่น้อย “ผมจะดูหน้าที่แท้จริงของคุณไง หน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากจอมปลอมนี่” ชายหนุ่มยอมปล่อยข้อมือเธอให้เป็นอิสระ ญาตาวีจับจ้องกลับมาด้วยสายตาแข็งกร้าว “จะมากไปแล้วนะ” “ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครส่งคุณมา อาจจะเป็นพี่ชายคุณส่งน้องสาวมายั่วผมก็ได้” “อย่ามาพาดพิงถึงคนอื่น พี่คิมไม่รู้เรื่อง” “หึ…แล้วที่คุณลงทุนมายั่วผมถึงที่ในวันนี้มีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าเพ้อพกหาผมจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เลยต้องรีบแจ้นมา” รอยยิ้มเยาะผุดออกมาจากริมฝีปากได้รูป ชายหนุ่มพยายามสร้างกำแพงหนาแน่นขึ้นมากั้นขวางเอาไว้ ด้วยเขาเองยังไม่ไว้วางใจว่าหญิงสาวเบื้องหน้าต้องการอะไร “คนเถื่อน! ปากจัด ดูถูกคนอื่นเป็นเลิศ ที่คุณว่าคนอื่นมาทั้งหมดมันก็ตัวคุณดีๆ นี่เอง” “ผมก็ไม่เคยพูดว่าผมเป็นคนดีนี่ครับ ถ้ารู้จักผมมากกว่านี้ คุณอาจจะวิ่งหนีแทบไม่ทันก็ได้” “ฉันแค่อยากรู้ว่าไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจนักหนา ถึงได้ตั้งแง่รังเกียจกันนัก วันนี้ฉันมาหาดีๆ ในฐานะคนรู้จัก จะต้อนรับกันไม่ได้หรือยังไง” ญาตาวีพรั่งพรูความในใจออกมาเป็นชุด ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว หญิงสาวพยายามกั้นก้อนน้ำตาเอาไว้โดยการกลืนมันลงในลำคอจนตีบตันไปหมด เมื่อคิดไปถึงว่าเธอกำลังหน้าด้านมาตามง้อผู้ชายคนหนึ่ง แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างน่าอับอาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเธอไม่เคยทำอะไรที่เสียเกียรติแบบนี้มาก่อน ซึ่งเธอก็ตอบตัวเองไม่ได้เช่นกัน ว่าอะไรดลใจให้เธอตัดสินใจกระทำเรื่องราวน่าอายในวันนี้ลงไป นาวีนิ่งเงียบไปในทันใด เขาไม่มีคำตอบด้วยซ้ำ เพราะเขาเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ว่าทำไมต้องพูดออกไปแรงๆ เวลาที่ต้องเจอหน้าเธอทุกครั้ง คล้ายหัวใจจะไหววูบลงไปอีกครั้ง แต่ชั่วครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็นตามเดิม กำแพงที่พยายามสร้างขึ้นมาเตือนให้ชายหนุ่มรีบยุติเรื่องราวทั้งหมดก่อนที่จะลุกลามไปมากกว่านี้ “กลับไปซะ อย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก” “ไม่ จนกว่าคุณจะบอกเหตุผล” “เพื่ออะไร” “คุณเป็นคนแรกที่ปฏิเสธผู้หญิงอย่างฉัน ฉันแค่อยากรู้ว่าผู้หญิงเพอร์เฟคอย่างฉันยังบกพร่องตรงไหน จะได้รู้ตัวเอาไว้” “มันก็ไม่แปลกนี่ครับ ผู้ชายคนอื่นอีกหลายคนอาจคิดเหมือนผมก็ได้” “ไม่จริง มีผู้ชายมากมายที่ยอมสยบแทบเท้าฉัน ทุกคนต่างทำทุกอย่างเพื่อแลกกับการได้คบกับฉัน” “หึ…อย่าหลงตัวเองไปนักเลยญาตาวี คุณกำลังทำตัวสมชื่อรู้ไหม อยู่ในโลกแห่งความฝัน หัดลืมตาดูโลกแห่งความเป็นจริงเสียบ้าง คุณจะพบว่ามันโหดร้ายแค่ไหน” “ฉันตื่นอยู่เสมอ ไม่เคยอยู่ในโลกแห่งความฝัน และขอบอกไว้เลยนะว่าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่ ฉันจะตื๊อจนกว่าจะได้หัวใจคุณมา” “แน่ใจ?” ชายหนุ่มจับจ้องใบหน้าเธอนิ่ง “แน่” หญิงสาวจ้องตอบไปอย่างไม่หวาดหวั่นเช่นกัน “ตามใจ ถ้าอย่างนั้นผมให้แค่สามเดือนเท่านั้นญาตาวี ผมให้เวลาคุณแค่สามเดือน ถ้าทำให้ผมรักคุณได้ ผมจะยอมสยบแทบเท้าคุณ แต่ถ้าหากคุณทำไม่ได้ คุณจะต้องออกไปจากชีวิตผม อย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก” “เมื่อถึงวันนั้น ฉันจะกระชากหัวใจคุณออกมาแล้วขว้างทิ้งอย่างไม่ใยดี ฉันนี่แหละ ที่จะทำให้คุณต้องจดจำญาตาวีคนนี้ไปตลอดชีวิต จำเอาไว้นะ คุณนาวี” “แล้วผมจะคอยดู” นาวีลุกพรวดขึ้นก่อนเดินเลี่ยงออกมา ชายหนุ่มขบกรามแน่นเมื่อคิดไปถึงว่าหญิงสาวเบื้องหน้าช่างดื้อรั้นเป็นที่สุด เขาแค่พูดให้เวลาออกไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้ดีว่าเส้นทางเดินของเขาและเธอไม่มีทางมาบรรจบกันได้ “อย่ากลืนน้ำลายตัวเองก็แล้วกัน” ญาตาวียังคงไม่ลดละ หญิงสาวเดินมาดักหน้าชายหนุ่มเอาไว้ ใบหน้าเชิดรั้นขึ้นอย่างคนถือดี นาวีอดที่จะเหน็บแนมไม่ได้ “หึ…ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะ ผมว่าคุณกำลังจะทำตัวเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ได้จะไม่คุ้มเสียเอานะ” “เรื่องของฉัน งานนี้ใครจะเป็นแมลงเม่า ใครจะเป็นไฟ มาพนันกันไหม” “ผมก็จะคอยดู…แม่ฝันเฟื่อง” คำพูดนั้นมาพร้อมกับสายตายั่วเย้า คล้ายต้องการจะแกล้งให้อีกฝ่ายใจละลายไปกับแววตานั่น ญาตาวียอมล่าถอย เมื่อคิดไปถึงว่าวันนี้คงหมดเวลาสำหรับเธอแล้ว “ฉันจะกลับ” “ก็ไปสิครับ ไม่ได้ผูกขาไว้เสียหน่อย” นาวีไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูรอไว้ ก่อนทำท่าผายมือเป็นเชิงไล่ให้เธอกลับออกไป ญาตาวีปรายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ หญิงสาวรีบคว้ากระเป๋าสะพายก้าวเดินฉับๆ นำหน้าชายหนุ่มออกไปจากห้องทันที เจ้าหน้าที่ด้านนอกหยุดการสนทนาแทบจะในทันใด เมื่อ เห็นร่างกลมกลึงก้าวเดินฉับๆ ตรงมายังพวกตน เธอหันมาส่งยิ้มเล็กน้อยขณะเดินผ่านหน้าไป สายตาหลายคู่มองตามหลังหญิงสาวไปด้วยความสนใจใคร่รู้ สภาพของญาตาวีที่ต่างจากตอนเข้ามาทำให้เกิดเสียงกระซิบตามมาทันที “คมกฤช หัวหน้าเรายังไงเนี่ย” “ยังไง” คมกฤชกระซิบกระซาบกลับไป เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นเจ้านายของตนเดินตามออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ยากจะเดาว่ายามนี้อยู่ในอารมณ์ไหน “ก็...ซีดออกมาเลย” “ทะลึ่งแล้วมึง เห็นมั้ยมองมาตาขวางแล้ว” คมกฤชทำหน้าพยักพเยิดไปยังหัวโต๊ะ เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มยืนจับจ้องพฤติกรรมของเขาทั้งสองอยู่ด้วยสายตาไม่พอใจ ราวกับมีญาณทิพย์ว่าเรื่องราวของตนจะต้องตกเป็นขี้ปากของลูกน้อง “อย่า…แม้แต่จะคิด” น้ำเสียงเข้มห้วนที่เจืออยู่ในคำพูด มันมาพร้อมใบหน้าบอกบุญไม่รับ ทำให้ทั้งสองรีบหุบปากฉับราวนัดกันไว้ ร่างสูงก้าวเดินฉับๆ ผ่านหน้าพวกเขาไป ก่อนพาร่างเดินออกไปด้านนอกตามหลังญาตาวีไปติดๆ วาคิมเดินพล่านไปมาภายในห้องโถงของบ้านด้วยอารมณ์ อันคุกรุ่น หัวใจของชายหนุ่มเริ่มร้อนรุ่มเมื่อเห็นว่าญาตาวียังไม่กลับบ้าน ทั้งๆ ที่ตอนนี้เริ่มมืดค่ำแล้ว สอบถามเด็กในบ้านก็ได้ความว่าเธอออกไปธุระตั้งแต่ตอนบ่าย “เธอบอกมั้ยว่าไปที่ไหน” คำถามนั้นมาพร้อมกับสายตาคมกริบที่จับจ้องมายังตนเขม็ง แม่บ้านยืนก้มหน้านิ่งตัวสั่นระริกด้วยความหวาดหวั่น ด้วยรู้ในอิทธิฤทธิ์เมื่อยามที่อีกฝ่ายเล่นสงครามเย็นได้ดี “มะ…ไม่ได้บอกค่ะ” “คราวหน้าคราวหลังก็หัดถามไว้บ้าง ถ้าน้องดรีมเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ” น้ำเสียงไม่พอใจตวาดกลับมาแทบจะในทันที เจ้าของคำตอบรีบหลุบตาหนีเพราะดูท่าเจ้านายจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย “จะไปไหนก็ไป” ชายหนุ่มลองกดโทรศัพท์ดูอีกครั้ง เสียงจากปลายสายยังคงให้ฝากข้อความเหมือนที่ผ่านมา เพียงเท่านั้นเขาถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง ก่อนทิ้งตัวลงนั่งบนอาร์มแชร์ตัวใหญ่ด้วยความหงุดหงิดใจ วาคิมกำแก้ววิสกี้ในมือจนแน่น ที่ผ่านมาญาตาวีไม่เคยทำตัวเหลวไหล เขารับรู้พฤติกรรมของเธอตลอดและไม่เคยกลับบ้านผิดเวลา คราวนี้นับว่าแปลกออกไปที่เธอกล้าออกไปไหนคนเดียวโดยเขาไม่รับรู้ แถมยังกลับบ้านมืดค่ำอีก ความห่วงใยผสานความหึงหวงทำให้ชายหนุ่มเผลอกระดกวิสกี้เข้าปากไปหลายอึกหวัง คลายความร้อนรุ่ม เสียงรถแล่นเข้ามาจอดบอกว่าน่าจะเป็นคนที่กำลังรอ สายตาคู่คมจับจ้องไปที่เดิมไม่วางตา ชายหนุ่มขบกรามแน่นพยายามข่มอารมณ์ให้เป็นปรกติมากที่สุด เขาพยายามซ่อนมันเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยและแววตาอ่อนโยนที่ยามนี้แดงก่ำเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ เพียงร่างกลมกลึงก้าวเท้าเข้ามาภายในตัวบ้านใบหน้าสวยต้องซีดเผือดขึ้นมาในทันใด เจ้าตัวผงะไปด้านหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจในท่าทีของพี่ชายที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน “พี่คิม!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD