ตอนที่ 6
เค้าลางของความขัดแย้ง
บรรยากาศยามบ่ายบริเวณที่ทำการอุทยานฯค่อนข้างเย็นสบายเนื่องจากพายุฝนเริ่มตั้งเค้ามาตั้งแต่ช่วงเช้า วันนี้ญาตาวีตามบิดามาที่ทำการอุทยานฯ เนื่องจากอัครเดชมีนัดกับหัวหน้าอุทยานแห่งนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรึกษาหารือการสร้างรีสอร์ท ของครอบครัวที่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาและขยับขยาย
นาวีกระโดดลงจากรถจิ๊ป วันนี้เขานำของฝากจากมารดาแวะเข้ามาให้ผู้บังคับบัญชา ซึ่งชายหนุ่มเห็นว่าเป็นทางผ่านที่ต้องไปทำธุระพอดี ก็เลยถือโอกาสแวะเข้ามาจะได้ไม่ต้องเสียเที่ยว ชายหนุ่มหอบถุงมากมายมาถือเสียเอง เนื่องจากลูกน้องคนสนิทเกิดข้อมือบาดเจ็บจากการปะทะกับพวกค้ำไม้เถื่อนเมื่อหลายวันก่อน
“เอ่อ...จะดีหรือครับ คุณวี ผมถือเองได้ครับ มันไม่หนักมาก”
น้ำเสียงของคมกฤชออกแนวเกรงใจ เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มถือสัมภาระเอาไว้จนเต็มสองมือ แทนที่หน้าที่นี้จะเป็นเขา
“ไปเถอะน่า เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องแบ่งแยกว่าใครจะถือ”
“แหะๆ เกรงใจหัวหน้าน่ะครับ”
คมกฤชยิ้มเฝื่อนออกมา ปากบอกว่าเกรงใจแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ชายหนุ่มถือโอกาสทำท่าเดินยืดเพื่อที่จะเข้าไปในตัวอาคาร เขารีบฉวยโอกาสแสดงละครเมื่อวันนี้เจ้านายอาสาเป็นลูกน้องแทนชั่วคราว นาวีอดที่จะส่ายหัวในการกระทำนั่นไม่ได้ ทั้งสองเดินตามกันมาในขณะที่ญาตาวีเดินมาสบกันเข้าอย่างบังเอิญพอดี
“อะ…อ้าว”
ต่างฝ่ายต่างทำหน้าไม่ถูกเมื่อต้องมาเจอหน้ากันอีกครั้ง อันที่จริงถ้าเธอไม่ลืมโทรศัพท์เอาไว้ในรถ ก็คงไม่ต้องมาปะหน้ากันอย่างจังในตอนนี้ก็เป็นได้ ญาตาวีครุ่นคิดอยู่ในใจว่าทำไมโลกช่างกลมสิ้นดี
“มาทำอะไรเหรอครับ อย่าบอกนะว่าวันนี้ทางอุทยานจัดงานเดินแฟชั่นโชว์ธิดาช้าง”
นาวีเอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ขณะไล่สายตามองสำรวจหญิงสาวเบื้องหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เดรสเกาะอกรัดรูปสีขาวที่เธอสวมใส่มาและรองเท้าส้นสูงจนน่ากลัว ดูช่างไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศของแถบนี้เลยสักนิด ชายหนุ่มคิดขณะสายตาจับจ้องร่างกลมกลึงของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว เขาพยายามบอกตัวเองว่าไม่สนใจเธอแม้สักนิด ผู้หญิงตรงหน้าไม่มีวันที่จะทำให้หัวใจอันแข็งแกร่งของเขาต้องละลายลงไปได้
“มองอะไรยะ มาว่าฉันเป็นช้างเดี๋ยวเถอะ”
หญิงสาวก้มลงมองตัวเองตามสายตาของอีกฝ่ายหวาดระแวง ราวกับว่าบนตัวเธอมีอะไรผิดปรกติที่น่าอับอาย แววตาหลุกหลิกรีบมองสำรวจไปทั่วร่าง ไม่เว้นแม้ด้านหลัง เพราะสายตาของชายหนุ่มเบื้องหน้ากำลังทำให้เธอหมดความมั่นใจ
“สวัสดีครับ”
คมกฤชซึ่งยืนมองพฤติกรรมของทั้งสองอยู่แล้วรีบแทรกขึ้นมา ในขณะที่เขาเองยังคงงุนงงว่าเจ้านายไปรู้จักกับสวยหุ่นดีคนนี้ตอนไหน และดูท่าว่าความสัมพันธ์ของสาวคนนี้กับเจ้านายของเขาจะไม่ราบรื่นเสียด้วย
“สวัสดีค่ะ อย่าบอกนะว่าอีตาปากมอมคนนี้เป็นลูกน้องคุณน่ะ”
“ไม่…อะ…อ่อ…ชะ…ใช่ครับ”
คมกฤชเกือบหลุดปากออกไป แต่นาวีรีบแอบสะกิดแขนเขาเอาไว้ พลางขยิบตาส่งซิกเป็นอันรู้กันว่าให้โกหกหญิงสาวเบื้องหน้าออกไปก่อน
“ถามทำไมครับ”
นาวีเอ่ยถามพลางหรี่ตามองหญิงสาวอย่างสงสัย ว่าแท้จริงแล้วภายในใจของเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ความรู้สึกอคติที่มีอยู่ในตัวอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมทำให้ชายหนุ่มพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเดียว นั่นก็คือเธอเองอาจสนใจผู้ชายที่เงินและหน้าที่การงานเท่านั้น
“เปล่า ไม่มีอะไร”
คนพูดยักไหล่ยียวน โต้ตอบกลับด้วยท่าทางหวังเอาคืน
“เหรออออ”
ญาตาวีทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มกวนอารมณ์นั่น หญิงสาวหันหน้าไปทางคมกฤชก่อนยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกมา
“คุณเอ่อ…”
“คมกฤชครับ”
“คุณคมกฤชคะ ว่างๆ สอนมารยาทในสังคมให้ลูกน้องบ้างก็ดีนะคะ อยู่แต่ในป่าอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ว่าการปฏิบัติอย่างสุภาพต่อผู้หญิงนั้นเขาทำกันอย่างไร”
“เอ่อ...”
คมกฤชหุบยิ้มทันควัน สายตาเหลือบมองไปทางเจ้านายที่ยืนนิ่งขบกรามแน่นจับจ้องไปยังหญิงสาวเจ้าของคำพูดด้วยสายตาคาดโทษเมื่อถูกเหน็บ
“นี่คุณ หัวหน้าผมเป็นนักป่าไม้นะไม่ใช่ครูสอนสังคมที่จะว่างมานั่งพร่ำบ่นในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง แล้วผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีมารยาทกับคุณด้วย”
“นี่คุณ!”
ญาตาวีเต้นเร่า สายตาจับจ้องใบหน้าอีกฝ่ายเขม็ง นาวียืนนิ่งจับจ้องพฤติกรรมนั้นพลางยิ้มหยันออกมา
“ทำไมครับ ไม่พอใจ? ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษนะครับ ออกจะเถื่อนไปสักหน่อย หวังว่าคงไม่ถือสากับคำพูดของคนเถื่อนๆ อย่างผมนะคุณหนูดรีม”
“ให้ตายสิ สาบานได้ว่าฉันจะไม่มีทางญาติดีกับคุณเด็ดขาด คนเถื่อน!”
ญาตาวีกัดฟันกรอดพูดออกไป อีกใจหนึ่งก็เต็มไปด้วยคำถามว่าตนไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจขนาดนั้น
“คิดว่าผมอยากญาติดีนักหรือยังไง ผมยังไม่ได้สะสางเลย
นะที่วันนั้นพี่ชายคุณเอาเงินฟาดหัวผม ถือว่ารวยแล้วจะกดหัวคนอื่นเล่นได้เหรอครับ”
“เงินอะไร…ฉันไม่รู้เรื่อง”
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อได้ฟังถ้อยคำของอีกฝ่าย ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูกุหลาบเม้มเข้าหากันแน่นคล้ายกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าพี่ชายของเธอไปทำอะไรให้ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่พอใจ
“ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากใส่ใจ”
“คุณพูดถึงเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ แล้วก็อย่ามากล่าวหาพี่คิมของฉันนะ”
ญาตาวีออกโรงปกป้อง เมื่อชายหนุ่มตรงหน้ากล้ากล่าวหาคนในครอบครัวของเธอไปในทางที่ไม่ดี
“หึ…หรือว่า…คุณเองก็คงไม่ต่างกับพี่ชายสักเท่าไหร่ เรื่องดูถูกคนอื่น”
“นี่คุณ! คุณยังไม่รู้จักฉันดีพอ กล้ากล่าวหากันอย่างนี้ได้ยังไง”
“ผมก็แค่พูดตามความรู้สึกเท่านั้น บังเอิญว่าผมเป็นคนตรงๆ ไม่อยากสร้างภาพ คิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณกับพี่คิมไปมีปัญหากันตั้งแต่ตอนไหน แต่ถึงอย่างไรฉันก็รู้ว่าพี่ชายฉันไม่ใช่คนแบบนั้น เขาอาจจะดีกว่าคุณร้อยเท่าก็ได้ อย่างน้อยก็ความเป็นสุภาพบุรุษล่ะนะ”
“นั่นก็เรื่องของพวกคุณผมไม่เกี่ยว แต่อย่ามายุ่งกับผมก่อน
ก็แล้วกัน”
นาวีทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินเลี่ยงหนีไป คมกฤชส่งยิ้มให้หญิงสาวแปลกหน้าก่อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามเจ้านายเข้าไปด้านใน ปล่อยให้ญาตาวียืนมองตามไปด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น
“ผู้ชายบ้า ปากจัดที่สุด คอยดูนะ ฉันจะต้องเอาชนะคนอย่างนายให้ได้ จำเอาไว้!”