ตอนที่ 8
หนามตำใจ
ญาตาวีใจหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นสายตาและท่าทีเอาเรื่องของอีกฝ่ายที่แสดงออกมา ใบหน้าคมคร้ามที่แดงกล่ำทำให้เธอเดาเอาว่าเขาน่าจะกำลังเมาอยู่อย่างแน่นอน
"ไปไหนมา!"
คำถามสั้นและห้วนเปล่งออกมาจากริมฝีปากได้รูป ญาตาวีรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจเคลือบแฝงอยู่ ซึ่งทางวาคิมเองนั้นควบคุมความกรุ่นโกรธเอาไว้ไม่อยู่จึงหลุดแสดงอาการแข็งกร้าวออกมาอย่างไม่อาจข่มเอาไว้ได้
"ปะ...ไปหา...พะ...เพื่อนมาค่ะ"
หญิงสาวละล่ำละลักออกมาด้วยไม่ทันได้คิดคำตอบเอาไว้ เธอจึงเอ่ยออกมาเท่าที่สมองจะคิดได้เวลานี้ พร้อมกันนั้นคล้ายจะได้กลิ่นแอลกอฮอล์เจือจางลอยคละคลุ้งปะปนอยู่ในอากาศ
คล้ายวาคิมจะรู้ตัวว่าไม่สมควรแสดงท่าทีแบบเมื่อสักครู่ออกไป เพราะจะยิ่งเป็นการทำให้อีกฝ่ายเกิดข้อกังขาในตัวเขาขึ้นมาอย่างง่ายๆ ชายหนุ่มจึงพยายามซ่อนอารมณ์อันคุกรุ่นเอาไว้ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย พลางคลายท่าทีแข็งกร้าวลงไปบ้างเพื่อการเจรจาจะได้ไม่ล้มเหลว
"เพื่อน? น้องดรีมมีเพื่อนแถวนี้ด้วยเหรอครับ พี่จำได้ว่าไม่มีนะ"
ชายหนุ่มทำหน้าคล้ายไม่เชื่อ พลางขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด สัญชาตญาณของเขาบอกว่าหญิงสาวเบื้องหน้ากำลังมีอะไรปิดบังไม่อยากให้เขารู้ และนั่นนำมาซึ่งสายตาคู่คมที่หรี่มองอีกฝ่ายอย่างจับผิด
"อ่ะ..เอ่อ"
หญิงสาวกระอึกกระอักไร้ข้อแก้ตัว นั่นน่ะสิ ตั้งแต่สร้าง
รีสอร์ทเธอมาเหยียบที่นี่นับครั้งได้ ยังไม่รู้จักใครด้วยซ้ำ ญาตาวีคิดเมื่อรู้ตัวว่าพลาดไป พลางหลบสายตาวูบไม่กล้าสบสายตาคู่คม อีกใจหนึ่งก็คิดคาดโทษตัวเองว่าตอบคำถามฆ่าตัวเองแบบนั้นไปได้อย่างไรกัน
วาคิมยังคงหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจ ความหึงหวงบดบังความเข้าใจเป็นอย่างอื่นจนหมดสิ้น ความคิดหนึ่งแล่นปราดเข้ามาเกาะกุมจิตใจราวมีพรายกระซิบ ใบหน้าใครบางคนแวบเข้ามาในห้วงความคิด
"พี่หวังว่าเพื่อนของน้องดรีมคงจะไม่ใช่หมอนั่นหรอกนะ"
ญาตาวีถึงกับสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ฟังคำพูดแทงใจดำราวกับอีกฝ่ายมีญาณทิพย์ ใบหน้านวลก้มลงต่ำด้วยกำลังคิดไปถึงว่าจาก
นี้จะหาข้อแก้ตัวว่าอย่างไรดี
"ใครกันคะ ที่พี่คิมว่า"
ญาตาวีแสร้งขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางเอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อกลบเกลื่อนอาการผิดปรกติ ทั้งที่ในใจกำลังเต้นโครมครามราวเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้
"ใช่มั้ย!"
"มะ...ไม่ใช่ ใช่ที่ไหนกัน ทำไมพี่คิมถึงคิดแบบนั้นคะ"
ญาตาวีละล่ำละลักออกไป หญิงสาวพยายามทำใจดีสู้เสือ ด้วยการรีบเดินเข้าไปกอดแขนอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อเอาใจ
"เปล่า...พี่แค่เดาเอาก็แค่นั้น ไม่ใช่ก็แล้วไป"
คำพูดจนเกือบกระซิบแว่วเข้ามาในโสตประสาทของญาตาวี มันมาพร้อมกับแววตาแปลกๆ ในความรู้สึกของเธอ มันไม่ใช่แววตาของพี่ชายที่แสนดีอันคุ้นเคยอีกต่อไป ราวกับอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่ากำลังเผยความผิดปรกติออกมา เพียงชั่ววินาทีนั้นเขารีบปรับสายตาให้เป็นปรกติดังเดิม
"ดรีมนัดกับเพื่อนเอาไว้จริงๆ พอดีแวะไปหาอะไรทานก็เลยกลับช้าค่ะ"
“พี่โทรหาตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่คิดถึงหัวอกของคนที่เป็นห่วงบ้าง ทั้งกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมา"
"อะ...อ้าวเหรอคะ แย่จริง สงสัยแบตฯ จะหมด ดรีมก็ลืมดูไปเลยน่ะค่ะ"
หญิงสาวไม่พูดเปล่า รีบทำท่าเปิดกระเป๋าก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูหน้าจอเพื่อตรวจสอบความผิดปรกติโดยไม่รอช้า
"หมดจริงๆ ด้วย ขอโทษนะคะพี่คิมที่ทำให้เป็นห่วง ดรีมรับปากว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหลอีก พี่คิมหายโกรธเถอะนะ...นะคะ"
แววตาเว้าวอนออดอ้อนที่จ้องมองมาพร้อมสีหน้าเศร้านั้น
มันมีพลังอย่างประหลาด เพียงเท่านั้นคนมองถึงกับหัวใจอ่อนยวบลงไปในทันใด ความกรุ่นโกรธหายไปกว่าครึ่งเมื่อท่าทีขี้อ้อนคล้ายลูกแมวน้อยกำลังคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง ราวต้องการประจบประแจงใช้ความน่ารักเข้ากลบเกลื่อนความผิดให้หักล้างกันไป
"ถึงอย่างไรดรีมก็ยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้หรอก พี่คิมสบายใจได้เลยนะคะ"
ญาตาวีได้ทีรีบประจบต่อ เมื่อเห็นท่าทีของพี่ชายอ่อนลงไป
"พี่ก็คิดอย่างนั้น เพราะตอนนี้น้องดรีมต้องรีบเรียนรู้การบริหารอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที พี่อยากให้เราเอาสมองมาทุ่มเทกับเรื่องนี้ก่อน เรื่องอื่นอย่าเพิ่งไปสนใจ"
"ถ้าพี่คิมไม่มีอะไรแล้ว ดรีมขอตัวไปอาบน้ำนะคะ"
ญาตาวีรีบตัดบท เมื่อเห็นว่าเรื่องราวน่าจะคลี่คลายลงไปแล้ว เธอไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเชื่อคำพูดหรือไม่ แต่เขาไม่ต่อความยาวสาวความยืดนั้นก็เป็นผลดีกับเธอที่จะรีบปลีกตัวออกไป
"อืม...ไปสิ"
หญิงสาวรีบผละออกมาพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ทุกอย่างจบลงไปด้วยดี แต่หากพี่ชายเธอรู้ว่าน้องสาวตนเองกำลังวิ่งตามผู้ชายอยู่ คงต้องเป็นเรื่องราวกันใหญ่โตอย่างแน่นอน เห็นทีนับจากนี้ไปเธอคงต้องทำอะไรให้รอบคอบและระวังตัวมากกว่านี้เสียแล้ว ก่อนที่เกมชิงหัวใจของเธอจะพังลงมาอย่างไม่เป็นท่า หญิงสาวคิดขณะเดินเลี่ยงมาจากความอึดอัด ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสายตาสองคู่มองตามหลังมาอย่างไม่ไว้วางใจ
รถกระบะแล่นอย่างระมัดระวังเข้ามาจอดด้านหน้าอาคารที่ทำการ หลังรถกระบะเต็มไปด้วยพรรณไม้ยืนต้นที่จะนำมาปลูกแซมภายในเขตพื้นที่ ซึ่งนาวีเล็งได้เห็นถึงความสำคัญของการปลูกป่าทดแทนพรรณไม้ที่ได้ถูกทำลายลงไป ด้วยคิดว่าถ้าเขาไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง อีกไม่นานอุทยานฯอาจถูกถอดจากการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เนื่องจากขาดความอุดมสมบูรณ์ในด้านสัตว์ป่าและพรรณพืช
จากการแผ้วถางของมนุษย์ที่นับวันรุกเข้าเขตหวงห้ามมาเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มเริ่มหวั่นวิตกในอนาคตของผืนป่าบริเวณนี้ และจากโครงการตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อหลายปีก่อนนั้น ได้ทำให้ผืนป่าแถบนี้กลับมาอุดมสมบูรณ์จากการร่วมแรงร่วมใจของหลายฝ่าย ชายหนุ่มจึงคิดว่าถ้าเขาเดินตามรอยโครงการนี้ น่าจะช่วยควบคุมปริมาณพรรณไม้เอาไว้ไม่ให้ร่อยหลอลงไปมากกว่าที่ควรจะเป็น การปลูกป่าชดเชยป่าที่ถูกทำลายลงไปจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
นาวีและผู้ช่วยต่างกุลีกุจอลำเลียงต้นไม้ลงจากรถ เพื่อรอวันที่จะทยอยนำไปปลูกในผืนป่า ในขณะที่ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับกิจกรรมที่ทำอยู่นั้น นาวีต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อสายตาเหลือบไปสบเข้ากับรถยนต์คุ้นตาที่แล่นเข้ามายังหน้าที่ทำการด้วยความเร็วไม่มากนัก ชายหนุ่มยืนนิ่งจับจ้องผู้มาเยือนด้วยความสนใจ ด้วยอยากรู้ว่าบุคคลที่อยู่ด้านในรถยนต์คันดังกล่าวจะเป็นคนเดียวกับที่ใจนึกอยู่ในขณะนี้หรือไม่
ร่างสูงที่กำลังก้าวลงจากรถทำให้แผงคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ ผู้มาเยือนน่าจะมาพบเขา ชายหนุ่มเดาเอาจากสายตาและรอยยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรโดยที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้
“สวัสดีครับ คุณนาวี”
วาคิมเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน ขณะเดินมาหยุดยืนอยู่ท้ายรถ นาวีจึงพยักหน้าตอบรับตามมารยาท ในขณะที่ภายในใจของชายหนุ่มได้ฉุกคิดถึงเรื่องวันก่อนขึ้นมาในทันที วันที่ญาตาวีมาพบเขาถึงที่นี่ แต่เขายังคงไม่แสดงท่าทีที่ผิดปรกติอะไรออกไป เพื่อรอดูเชิงว่าอีกฝ่ายจะเปิดประเด็นอะไรขึ้นมา
แม้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นวาคิมจะทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก และพานไม่ชอบหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ ความไม่พอใจนั้นได้เผื่อแผ่ไปถึงญาตาวี ด้วยคิดเอาเองว่าบุคคลภายในครอบครัวเดียวกันก็น่าจะมีนิสัยไม่ต่างกันมากนัก แต่ยามนี้วาคิมกลับมีไมตรีที่ดีมา เขาจึงตามน้ำไปด้วยมารยาททางสังคมบีบบังคับให้เป็นไป แม้จะรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมก็ตามที
“จะเตรียมไปปลูกป่าที่ไหนเหรอครับ”
“อ๋อ...แถวๆ นี้แหละครับ”
“ผมดีใจนะครับ ที่เห็นคนช่วยกันปลูกป่าแทนที่จะทำลาย”
วาคิมเอ่ยชม รอยยิ้มที่สื่อออกมานาวีไม่อาจรู้ได้ว่าออกมาจากใจหรือมีอะไรเคลือบแฝงเอาไว้บ้าง
“คุณมีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือหรือเปล่าครับ หรือต้องการได้
คำแนะนำเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในแถบนี้ ผมจะได้ให้คนดูแล”
“ก็…ไม่เชิงนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้น เชิญด้านในดีกว่าครับ”
นาวีทำหน้าพยักพเยิดไปยังตัวอาคารที่ถัดไปไม่ไกล วาคิมยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ
"ไม่เป็นไรครับ ผมมีอะไรบางอย่างจะถามคุณเฉยๆ"
"ถามผม?"
“ใช่…ผมอยากคุยกับคุณ”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับสายตาคู่คมที่มองมาทางนาวีอย่างสำรวจ เมื่อได้มาใกล้ชิดวาคิมต้องยอมรับว่าบุรุษตรงหน้าเขานั้นเป็นคนที่ดูดีคนหนึ่ง เนื่องจากผิวของนาวีค่อนไปทางขาว และท่าทางที่ดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำอาง ดูบุคลิกแล้วช่างขัดกับอาชีพที่เจ้าตัวทำยิ่งนัก และคล้ายนาวีจะรับรู้ได้ถึงการถูกจับจ้อง ชายหนุ่มจึงเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“คุยกับผม? เรื่องด่วนมั้ยครับ”
“ไม่ด่วนเม่าไหร่ครับ แต่สำคัญมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็ว่ามาเลยครับ ผมจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ”
"ทำงานป่าไม้นี่คงไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าไหร่นะครับ ถ้าใจไม่รักและไม่ทุ่มเทคงทำไม่ได้ ผมเข้าใจถูกไหม"
"ก็ไม่เชิงนะครับ...แต่สำหรับผมแล้วก็ลำบากอะไร"
"เงินเดือนของพวกคุณ ดูแล้วไม่ค่อยคุ้มกับค่าเหนื่อยสักเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอครับ"
วาคิมยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มคล้ายเย้ยหยันในความรู้สึกของนาวี และชายหนุ่มพยายามซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย
"เงินเดือนไม่สำคัญหรอกครับ รับมากหรือน้อยก็ทำงานเหมือนๆ กัน พวกเราอยู่กันด้วยใจมีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันไปตามสมควร"
"เหรอครับ แสดงว่าระดับหัวหน้าแบบคุณนี่คงดีขึ้นมาหน่อยใช่ไหม"
"ก็...ไม่เท่าไหร่หรอกครับ"
"จริงเหรอครับ"
"เอ่อ...ขอโทษนะครับ ที่คุณมาวันนี้แค่ต้องการจะมาถามผมเรื่องแค่นี้เองเหรอครับ อย่าบอกนะว่าคุณกำลังทำวิจัยอะไรอยู่"
นาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความขุ่นมัว เนื่องจากเขากำลังคิดว่าอีกฝ่ายเริ่มล้ำเส้นจนเกินไป
"แล้ว...ถ้าหากวันใดวันหนึ่งคุณเกิดอยากมีครอบครัวขึ้นมา ลำพังรับเงินเดือนแค่ไม่กี่บาท คุณจะเลี้ยงดูผู้หญิงคนนั้นได้มั้ย"
นาวียืนหน้าชาดิกพลางขบกรามแน่น เมื่อรับรู้ได้ถึงการดูถูกที่แฝงมากับคำพูดเมื่อสักครู่
"คุณวาคิมครับ ธุระของคุณคือเรื่องนี้เหรอ เพราะผมเองก็ไม่ค่อยว่างมาคุยเรื่องส่วนตัวกับใครเสียด้วยสิ"
นาวีไม่ตอบคำถาม แต่โต้กลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแทน เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด แต่คำถามที่ยากจะหาคำตอบนั่นทำให้เขาเกิดอยากปิดการสนทนาขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น ยามนี้เขารับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าทางวาคิมนั้นไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
"คุณแค่ตอบคำถามผม ถ้าคุณยังทำงานอยู่ที่นี่ ที่เดิมแห่งนี้ คุณจะรับผิดชอบชีวิตใครสักคนได้มั้ย โดยเฉพาะคนที่สุขสบายมาทั้งชีวิต ไม่เคยต้องเดือดร้อนในเรื่องเงิน"
"ผมไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ และเรื่องฐานะของผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องมาบอกคนเป็นร้อยคนว่าผมเป็นใครมาจากไหน เอาเป็นว่าคุณรับรู้มาอย่างไรก็ตามนั้นละกัน จะมองว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้จนๆ คนหนึ่งนั่นก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว...หมดธุระแล้วใช่มั้ย ขอตัวนะครับ"
นาวีทำท่าจะเดินเลี่ยงออกมาจากบริเวณนั้น แต่วาคิมยังคงไม่ยอมจบอย่างง่ายๆ เขาเดินมาขวางหน้าเอาไว้ ก่อนเค้นเสียงรอดไรฟันออกมา
"มันเกี่ยว! เกี่ยวมากด้วย"
“อะไรของคุณ!"
"มันจะไม่เกี่ยว ถ้าน้องสาวผมไม่มาหาคุณถึงที่นี่"
ประโยคล่าสุดทำให้คนฟังถึงกับกระตุกยิ้มมุมปาก ที่แท้ก็เรื่องนั้น คิดพางยักไหล่ใส่วาคิม
"แท้ที่จริงแล้วคุณมาก็เพราะเรื่องนี้ ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลยนี่ครับ"
คำท้าทายของญาตาวีที่ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาททำให้เขาคิดอย่างคนเป็นต่อ เพราะหากคิดจะกันท่าหวงน้องสาวแบบ
นี้ เห็นทีศัตรูของเขาคงต้องไปบอกญาตาวีแทนเสียแล้ว
“เมื่อวันก่อนน้องสาวผมแวะมาที่นี่ใช่มั้ย”
“คุณถามทำไมครับ”
“ผมถามคุณไม่ใช่ให้คุณมาย้อนเอาแบบนี้ ผมแค่ต้องการคำตอบ ว่าเธอมาที่นี่หรือเปล่า”
“ถ้าเธอมาแล้วจะทำไมครับ แล้วคุณไม่รู้เลยหรือไงว่าวันๆ เธอไปไหนกับใครบ้าง”
“ผมแค่อยากรู้ว่าเธอมาที่นี่มั้ย”
“มา...”
คำตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความชัดเจน เพียงเท่านี้หัวใจของวาคิมถึงกับกระตุกวูบขึ้นมาในทันใด ญาตาวีกล้าโกหกเขาอย่างไม่น่าให้อภัย ชายหนุ่มขบกรามแน่นอย่างลืมตัว เมื่อคิดไปไกลถึงน้องสาวตัวเองกำลังคิดจะปลูกต้นรักกับชายหนุ่มตรงหน้า มันคงไม่ง่ายขนาดนั้นถ้าหากเขายังอยู่ วาคิมคิดมองหน้าศัตรูหัวใจอย่างไม่พอใจ สายตาสองคู่สบประสานกันอย่างไม่มีใครยอมลงให้กันก่อน
“เธอมาทำอะไร หวังว่าคงไม่ได้มาหาคุณ”
ถึงกระนั้นวาคิมยังคงพยายามพูดหลอกตัวเอง เขาอยากจะคิดว่าญาตาวีมาที่นี่เพราะต้องการข้อมูลด้านการท่องเที่ยวเท่านั้น
“นี่คุณ ทำไมไม่ไปถามคนของคุณเองล่ะครับ มาถามผมทำไม”
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณกับน้องดรีมแอบติดต่อกันอยู่หรือเปล่า แต่ผมอยากให้คุณคิดให้ดีเพราะคุณไม่มีอะไรที่เหมาะกับน้องสาวผมเลยสักนิด ไม่เหมาะแม้กระทั่งวิถีชีวิต น้องสาวผมไม่เคยลำบากมาก่อน แล้วเธอก็ไม่ชอบชีวิตแบบนี้เอาเสียเลย”
ด้วยอารมณ์หวงก้าง วาคิมจึงแสดงเจตจำนงค์ออกมาโดยไม่อ้อมค้อม ด้วยคิดว่าเขาต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม ก่อนที่เรื่องราวจะเลยเถิดไปมากกว่านี้จนถึงขนาดกู่ไม่กลับ เมื่อนั้นเขาเองจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร หากดวงใจต้องถูกพรากออกไป
“หึ...คุณวาคิม แทนที่คุณจะมาคาดคั้นเอากับผม ผมว่าคุณเอาเวลาไปสอนคนที่บ้านดีกว่าว่าอย่ามายุ่งกับผมอีก ถ้าน้องสาวคุณไม่มาที่นี่ ทุกอย่างก็จบ”
เหมือนมีใครเอาก้อนหินหนักหลายสิบกิโลมาทุ่มใส่หน้า เมื่อได้ยินถ้อยคำยอกย้อนเชิงดูถูกที่พ่นออกมาจากปากของอีกฝ่าย ญาตาวีทำตัวน่าอับอายที่ผู้ชายตรงหน้าดูถูกกลับมาจนหน้าชา กระนั้นวาคิมก็ยังคงทำใจเย็นเพื่อไม่อยากให้สถานการณ์รุนแรงไปมากกว่านี้
“ไม่สนก็ดี ผมจะได้สบายใจ”
“สบายใจได้เลยครับ ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสังคมของพวกคุณหรอก”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดีนะครับ”
“หมดธุระหรือยังครับ”
“ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อนะ”
“ผมเข้าใจดี คุณวาคิม และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาสั่งสอนด้วย เชิญกลับไปได้แล้วครับ”
"หึ...อย่ากลืนน้ำลายตัวเองเข้าล่ะ เพราะถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ คุณจะได้รู้จักผมมากกว่านี้ คุณนาวี!"
วาคิมยอมเดินกลับไปที่รถด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น นาวีมองตามร่างสูงของอีกฝ่ายไปด้วยอารมณ์อันขุ่นมัวเช่นเดียวกัน จนกระทั่งอีกฝ่ายเข้าไปนั่งในรถ ในขณะเดียวกันวาคิมไม่วายที่จะมองกลับมายังร่างของนาวีที่กำลังยืนจับจ้องเขาอยู่ไม่วางตา ไม่มีแม้รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าคมคร้าม ต่างจากท่าทีในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
ประตูด้านคนขับถูกปิดลงอย่างแรงตามอารมณ์ของเข้าตัว เสียงเครื่องยนต์ทำงานเบาๆ ตามประสิทธิภาพของรถ ก่อนที่วาคิมจะเข้าเกียร์แล้วขับปราดออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว นาวีถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งที่ถูกทำให้อารมณ์เสียโดยใช่เหตุ พานคิดคาดโทษไปยังญาตาวีที่หาเรื่องทำให้เขาต้องถูกพี่ชายของเธอตามมาหยามเกียรติถึงถิ่น หากมีโอกาสพบกันคราวหน้าคงต้องสั่งสอนคนอวดเก่งให้เข็ดหลาบเสียบ้าง