“ร้อนๆ แบบนี้เข้าไปนั่งเล่นในห้องนอนพี่ก่อนไหม ตอนนี้ไม่มีใครอยู่…” สติฉันเหมือนถูกทำให้เตลิดด้วยคำเชิญชวนบ้าๆ นั่น รู้อีกทีสีหน้ายั่วน้ำลายของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเจ้าเล่ห์ปนร้ายกาจ “อะไร นี่แค่ Skill อ่อยระดับเบสิก หล่อนถึงกับนิ่งเลยหรือไง?”
คำถามต่อมาของเขากระชากสติที่ขาดหายไปของฉันให้กลับคืนมา ก่อนพบว่า คนตัวใหญ่กำลังเดินเข้ามาใกล้ และหยุดก้มลงเก็บเสื้อที่เขาจงใจเหวี่ยงทิ้งบนพื้นด้วยท่าทางพอใจ พอเห็นดังนั้นฉันก็ยอมไม่ได้ที่จะถูกเขาแกล้งอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“อย่าหลงตัวเองสิคะ หนูรู้ทันพี่หรอกน่า!” ต่อให้ท่าทางที่ฉันแสดงออกไปกับคำพูดมันจะดูสวนทางกันมากก็เถอะ
“รู้ทันจริงอ่ะเหรอ?” และเชื่อเถอะว่าคนเหลี่ยมจัดแบบพี่โซ่คงเดาออก ถึงได้กระแหนะกระแหนเสียงถามแบบนั้น
“ค่ะ!” ฉันตอบเลี่ยงๆ แบบใส่อารมณ์ สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าฉันหันหลังเดินออกไปจากบ้านล่ะก็ มันก็หมายความว่าฉันยอมรับความฝ่ายแพ้ต่อการกระทำของเขาเมื่อคู่ ดีล่ะ ถ้างั้นฉันก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน แสดงให้เขาเห็นว่า ฉันยังดูโอเคและเป็นปกติดี!
พอคิดได้เช่นนั้น ฉันก็รีบเดินย้ำเท้าทิ้งส้นหนังๆ เดินชนไหล่พี่โซ่ตรงเข้าไปในตัวบ้าน ทว่า คนตัวใหญ่ที่รวดเร็วกว่าดันพุ่งมือรั้งข้อมือฉันไว พร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ
“ห้องนอนพี่ ขึ้นบันไดไปเลี้ยวซ้าย…”
ฟึ่บ!
“พี่โซ่!” ฉันหวีดเสียงตอบแบบไม่ต้องคิด พลางสะบัดข้อมืออย่างแรงจนหลุดเป็นอิสระ แต่ไม่ใช่กับผลตอบรับอีกฝ่ายซึ่งเอาแต่หลุดหัวเราะคล้ายกับสะใจที่เห็นฉันเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง
“เห็นรีบเดิน นึกว่ารีบร้อนจะขึ้นไปยิ้มกับพี่ที่…”
“ไม่ใช่ค่ะ!” ฉันกระแทกเสียงขัดแบบใส่อารมณ์ แสดงออกให้คนตัวใหญ่ตรงหน้ารับรู้ว่าฉันไม่พอใจมากแค่ไหนที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อนแบบนี้
“อ๊ะๆ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่…” พี่โซ่ไหวไหล่ไม่ยี่ระต่อคำพูดใส่อารมณ์ของฉัน มิหนำซ้ำยังกล้าสะบัดหน้าเชิดๆ ใส่แล้วพูด “งั้นหล่อนก็หาที่นั่งเอาเองก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่หาน้ำมาให้”
ว่าแล้ว เขาก็เดินเลี้ยวเข้าไปยังห้องที่อยู่ติดกัน ส่วนฉันก็ไม่ได้พูดอะไรตอบเขากลับไปได้แต่กักเก็บอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองไม่ให้ปะทุออกมามากกว่านี้ สายตามองหาที่นั่งพักก่อนเจอเข้ากับโซฟาตัวยาวกลางห้องโถง เท้าสองข้างรีบเร่งพาตัวเองเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งพักทันทีแบบไม่ต้องสงสัย
บรรยากาศในบ้านตอนนี้ค่อนข้างเงียบหลังจากพี่โซ่หายไปจากวิถีระยะสายตา จะเรียกว่าละลาบละล้วงหรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ เพราะตอนนี้สายตาฉันกำลังสนใจรูปภาพขนาดใหญ่ของผู้ชายในชุดสูทสีดำสนิทซึ่งแขวนอยู่บนผนัง
รูปดังกล่าวคือรูปของพี่โซ่นั่นแหละ แต่สีหน้าและท่าทางที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายนั้นมันดูไม่เหมือนเขาที่ฉันเคยเห็นเลยสักนิด อารมณ์ในภาพให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็นคุณชาย มาดแมน แฮนด์ซั่ม ไม่ใช่แบบที่ฉันเห็นเวลาที่ได้พบหน้า พอเห็นแบบนี้ในหัวก็เริ่มเกิดความคิดแปลกๆ ประติดประต่อท่าทางที่เขาจงใจทำใส่ฉันในแต่ละเหตุการณ์ขึ้นมา
“พี่โซ่คะ ถามจริงพี่เริ่มชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่?” ยิ่งคิดได้แบบนั้น ความปากไว มันเลยทำให้ฉันตะโกนถามขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความเงียบแบบไม่สนใจเรื่องมารยาท
“หล่อนจะถามทำไมไม่ทราบ!?” แน่นอนว่าเขาตะโกนตอบกลับมาทันที ด้วยน้ำเสียงฟังดูจริตหน่อยๆ
ต่อให้เขาจะยอมตอบกลับมาแบบนั้นก็เถอะ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ถูกถามดูไม่ค่อยเต็มใจจะตอบคำถามสักเท่าไหร่ เพื่อเลี่ยงการมีปัญหา ฉันก็เลยเลือกที่จะเงียบ เพราะรู้ตัวว่าถ้าพูดหรือถามอะไรออกไปมากกว่านี้แล้วดันไม่เข้าหูเขาขึ้นมา จะพานให้มีปัญหากันเสียเปล่าๆ และฉันที่ตัวเล็กกว่าเขานักคงต้องแพ้ราบคราบอย่างเห็นๆ
กึก...
“พี่ถามว่าหล่อนจะถามทำไม?” แต่มันก็เป็นพี่โซ่นั่นแหละที่เอ่ยถามฉันเป็นหนที่สองด้วยเสียงที่ดังฟังชัดมากขึ้น ขณะก้าวเดินออกมาจากห้องดังกล่าวพร้อมด้วยแก้วน้ำเย็นในมือ
พี่โซ่ในเวลานี้ยังคงอยู่สภาพเดิมนั่นคือเปลือยท่อนบน โชว์ซิกแพกเรียงสวย ซึ่งมันทำให้ฉันกลืนน้ำลายได้ทุกครั้งที่เผลอหันไปเห็น แถมสีหน้าของเขาตอนนี้ ดูจะสงสัยกับคำถามค้างคาของฉันมากเสียด้วยสิ
“ว่าไงล่ะชะนี จะพูดไม่พูด?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อยู่ๆ มันก็เกิดสงสัยขึ้นมาเฉยๆ” ทั้งที่ฉันกะจะไม่พูดต่อแล้วแท้ๆ แต่ในเมื่อเขาเร่งเร้าที่จะถาม ฉันก็จะตอบให้ และจะตบท้ายด้วยการตะล่อมหลอกถามเขากลับเหมือนกัน แม้ว่าคำพูดฉันมันอาจจะฟังดูเหมือนการจิกกัดไปบ้างก็เถอะ “ในรูปพี่ดูแมนมากไม่เหมือนพวกไม้ป่าเดียวกัน หนูเลยสงสัยว่าพี่เริ่มชอบผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่”
คราวนี้แผนของฉันดูจะสำเร็จ เมื่อพี่โซ่ยอมเปิดประเด็นเรื่องของตัวเองออกมา
“พี่โดนชะนีทิ้งตอนสมัยมัธยมปลาย...” เขาเดินเข้ามาหาฉัน พลางวางแก้วน้ำลงตรงหน้าฉันตามมารยาทของเจ้าบ้านที่พึงจะทำ “ตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยลองเปลี่ยนบรรยากาศ หันมามองผู้ชงให้หัวใจพองโตแทน...”
เคยโดนผู้หญิงทิ้งสินะ ถึงได้เปลี่ยนตัวเองหันมาชอบผู้ชายด้วยกันสินะ
พูดจบพี่โซ่ทิ้งตัวลงนั่งข้างฉัน ในท่าไขว้ขา ตอบฉันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยสายตายังจ้องไปที่ภาพถ่ายดังกล่าวอยู่แบบนั้น สายตาของเขาขณะที่จ้องไปยังรูปถ่าย
“แล้วพี่คิดจะหันกลับมาชอบผู้หญิงอีกไหมคะ?” ที่ถามไม่ใช่เพราะฉันอยากรู้สเป็คเพศของเขาหรอกนะ แต่ฉันกำลังหลอกถาม เพื่อวางแผนสยบขับไล่เขาออกไปจากชีวิตพี่อาร์มต่างหาก
“ชอบได้... แต่ก็อย่างที่บอกพี่เลือกคน” เขาตอบนิ่งๆ แลดูวางเชิงเล็กๆ ต่อให้จะรู้สึกหมั่นไส้ท่าทางเลือกได้ของเขามากเท่าหร่ ฉันก็ทำได้แค่เก็บไว้ในใจเท่านั้น
“แล้วตอนนี้นอกจากพี่อาร์มของหนู พี่โซ่มีตัวเลือกอื่นบ้างหรือยังคะ?”
“หล่อนลองเดาสิ” เขาย้อนเสียงเรียบ เหมือนตอบส่งๆ คำตอบที่ฟังแล้วไม่ได้ดั่งใจเท่าไหร่นัก ทำฉันเหลือบหางตามองเขาแบบขัดใจเมื่อแผนหลอกถามคล้ายจะล่ม
“เฮือก!” แต่แล้วมันก็เป็นเองที่สะดุ้งเฮือกเมื่อบังเอิญสบเข้ากับนัยน์ตาคมตรงหน้า แถมดูเหมือนว่าเขาจะมองแบบนี้มาได้สักพักแล้วด้วย
“เดาได้หรือยัง?” พี่โซถาม ส่วนมือก็เอื้อมทัดปอยผมข้างหูฉันอย่างแผ่วเบา จนมองไม่ออกเลยว่าตอนนี้เขากำลังแกล้งหรือกำลังต้องการจะทำอะไรกันแน่ เพราะเดาทิศทางไม่ถูกสิ่งที่ทำได้คือการนั่งนิ่งจ้องสู้ตายตาเขากลับไป โดยไม่พยายามแสดงอาการแตกตื่นออกมาให้เขาเห็นไม่ว่าจะสีหน้าหรือน้ำเสียง
“ยังค่ะ...” เมื่อเขาทำทุกอย่างตามใจตัวเองเสร็จแล้ว พี่โซ่ก็ละมือออกไป ก่อนเปลี่ยนมาเท้าแขนข้างหนึ่งกับพนักโซฟา ส่วนมือข้างที่เหลือบทาบลงกับเบาะโซฟา
“ถ้างั้นพี่ถามหล่อนกลับบ้างได้ป่ะ?” บทพูดของเขาครั้งดูจริงจังกว่าทุกทีจนรู้สึกได้แม้ว่ามันจะแฝงไว้ด้วยความหลงตัวเองขั้นสุดก็ตาม
“ที่ถามๆ มาเนี่ย... หล่อนอยากให้พี่สนใจหล่อนเหรอ?”