เพ็ญเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของคำรณ ที่กำลังลงมือทำอาหารเช้าสำหรับตัวเอง ยืนรั้งรออยู่ครู่หนึ่งซึ่งต่างกับทุกวันที่มักจะเดินเข้าบ้านไปทักทายเจ้าของในทันที ชนาเห็นเข้าทำให้รู้สึกแปลกใจ เพราะรถสองแถวที่ มาส่งและจอดอยู่ไม่ห่างหน้าบ้านมากนัก แต่ดูเหมือนว่า ไม่ได้ทำให้คนที่มายืนอยู่สนใจอะไร
“หนูช่วยค่ะ น้าเพ็ญ” ชนายิ้มมองสบตากับเพ็ญซึ่งยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินตามเข้าไปในบ้าน
“อ้าวแม่เพ็ญ” คำรณยิ้มให้กับคนที่เดินตามชนาเข้ามา
“ไม่ต้องทำกับข้าวแล้วล่ะคะ ลุงคำ น้าเพ็ญเอาอาหารเช้ามาให้แล้ว” ชนายิ้มแอบสังเกตท่าทางนิ่งๆ ของน้าเพ็ญอีกครั้ง
“ช้าอีกนิด ข้าวผัดฉันคงเป็นหมันนะ พี่คำ” เพ็ญยิ้มจางๆ ซึ่งไม่รู้เลยว่าอากัปกิริยาของตัวเองไม่ปกตินัก คำรณเองสังเกตเห็นอยู่เหมือนกัน
“แม่พริ้งไม่สบายอีกหรือไร ทำไมหน้าตาแม่เพ็ญดูมีกังวลนะ” คำรณถามและเดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเพ็ญ
“ตามประสาคนแก่นั่นแหละ พี่พริ้งหายดีแล้วล่ะคงดูแลไปไหนกับยายแพรได้เหมือนเดิม ไม่ต้องรบกวนชนาแล้ว” เพ็ญพูดบ่ายเบี่ยง ชนาแอบฟังอยู่ภายในห้องครัวระหว่างนำข้าวผัดใส่จานให้ลุงคำ
“อันที่จริงให้ไอ้ชามันดูแลแทนก่อนก็ได้ จะได้มีเวลาพักผ่อน เด็กๆยังแข็งแรงเหน็ดเหนื่อยน้อยกว่าพวกเรา ไม่ต้องเกรงใจอะไร
หรอก เพราะคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่นั่นแหละเรื่องงานน่ะ” คำรณยิ้ม เมื่อเห็นชนาเดินออกมาพร้อมกับอาหารมื้อเช้า ซึ่งเพ็ญนำมาให้อยู่บ่อยๆ เคยเอ่ยปากจะนำ มาให้ทุกมื้อทุกวัน แต่คำรณไม่อยากรบกวน จึงมักจะนำมาให้บ้างในบางวันหรือบางมื้อ แต่ปกติแล้วจะวันล่ะครั้ง ไม่เช้าก็เย็น เพราะช่วงเวลาตอนกลางวันคำรณไม่ค่อยได้อยู่กับบ้านนัก ออกไปท้องไร่ท้องนาหรือไปทำธุระที่โน่นที่นี่บ้าง
“รบกวนชนาเปล่าๆ” เพ็ญพูดขึ้น
“หนูยินดีค่ะ อีกอย่างไปเป็นเพื่อนแพร หนูเอาหนังสือไปอ่าน เอางานไปทำด้วยค่ะ อยากสอนหนังสือเลยต้องเตรียมตัวเอาไว้แต่เนิ่นๆ ค่ะ” ชนาบอกไม่ค่อยกล้าจ้องมองน้าเพ็ญตรงๆ เพราะท่าทีที่ดูเหมือน มีเรื่องอะไรในใจ
“อย่าเลย เดี๋ยวฟงแฟนจะมาว่าเอานะ แม่เราอีก” น้าเพ็ญพูดขึ้นทำเอาชนานิ่งอึ้งไป
“แม่คงคิดว่า หนูยังเที่ยวอยู่ค่ะ เรื่องแฟนคิดว่า ให้ลุงคำหรือน้าเพ็ญหาให้ดีกว่า ผ่านการคัดกรองรับรองได้ว่า เป็นคนดีแน่นอน” ชนารู้ว่าน้าเพ็ญจ้องมองและกำลังทำให้รู้สึกเหมือนโดนจับผิดอยู่
“โอ้โห ไอ้นี่ แค่กลับบ้านไปหัวกะไดบ้านแม่เอ็งจะไม่แห้งล่ะสิ ลูก ผู้รากมากดีที่แม่เอ็งจะหามาน่ะ ข้าไม่อยากจะคิด” ลุงคำหัวเราะ แต่น้าเพ็ญรอยยิ้มน้อยๆ ที่มีอยู่หายไปในทันที
“แต่หนูอยากอยู่ที่นี่นะคะ ลุงคำ ไปสมัครเป็นครูกับป้าพรก็ได้หรือเป็นผู้ช่วยกำนันไม่เอาเงินเดือนก็ได้นะคะ น้าเพ็ญช่วยพูดให้หนูหน่อยนะ” ชนาพูดอ้อนเดินเข้าไปกราบน้าเพ็ญที่ไหล่ จึงทำให้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ กลับ มาอีกครั้ง ชนาแอบลอบสังเกตโดยไม่ให้น้าเพ็ญรู้ตัว
แพรพรรณมองเห็นชนาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน แต่ถูกมารดาพูดปรามไม่ให้ไปวุ่นวายที่บ้านลุงคำบ่อยนัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่เห็นจะเคยพูดอะไรเลยสักนิด ยังบอกอีกว่า หากขับรถกลับมาแล้วยังไม่มืดค่ำพอมีเวลาให้แวะทักทายลุงคำก่อนเข้าบ้าน แพรพรรณมองดูมารดา ซึ่งกำลังขับรถออกไปตลาดเพื่อขายขนม ป้าพลับกับป้าพรขับรถตามกันออกไปที่บ้านมีเพียงป้าพริ้งซึ่งเป็นเจ้าของตลาดใหญ่ จึงมีเวลาที่จะตามไปดูแลหลานสาวหากมีงานไม่ว่าถ่ายละคร ถ่ายแบบเดินแบบ แพรพรรณได้ยินเสียงประตูห้องของป้าพริ้งปิดลง จึงค่อยๆ ย่องออกจากห้องเพื่อไปที่บ้านของลุงคำ
“นี่ของชาดำเย็น” ชนามองดูกล่อง ซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากนักว่าเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่แปลกใจตรงที่แพรพรรณเอามาให้ทำไม
“ของเราๆ ก็ต้องซื้อเองสิ” ชนาบอกขณะเอามือดันกล่องคืนให้กับคนที่ยื่นให้
“แพรมีแล้ว เครื่องนี้ได้มาไม่ได้ใช้ ชาดำเย็นเอาไปเถอะนะ รู้บ้างไหมเล่า เมื่อคืนเป็นห่วงแทบแย่ บ้านช่องก็ไม่กลับ โทรฯ หาก็ไม่ได้จะโทรฯหาพี่ไต้ฝุ่นก็เกรงใจ” แพรพรรณพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ จนได้ยินเสียงลุงคำหัวเราะทำให้รู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที
“อันที่จริง เราก็อยากโทรฯ บอกนะ แต่เกรงใจ มันเหมือนรายงานตัวยังไงก็ไม่รู้เนอะ” ชนายิ้มอายๆ มองดูคนที่ทำหน้างอเล็กน้อย แล้วยื่นกล่องให้อีกครั้ง
“ใช้ได้เลย มีเบอร์แล้ว แพรลองโทรฯ เข้าแล้ว บันทึกเบอร์และชื่อให้แล้วเรียบร้อย ลุงคำบังคับให้แพรหน่อยนะคะ” แพรพรรณอมยิ้มมองไปทางลุงคำที่นั่งหัวเราะอยู่
“ก็คิดเสียว่า เป็นค่าจ้างที่ช่วยดูแลสิ ไอ้ชา ดูแลทั้งชีวิตรับโทรศัพท์มาเครื่องเดียวคงจะไม่เสียหายอะไรหรอก” ลุงคำหัวเราะอีกครั้งสองสาวยิ้มอายๆ ชนาจึงพาแพรพรรณเดินอ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งมีเก้าอี้ไม้ไผ่ตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ แถมยังลับตาจากบ้านของแพรพรรณด้วย
“แค่นี้นะ อย่ามีของอะไรมาอีก” ชนาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ต้องดุด้วย ของไม่ได้ใช้สักหน่อย ได้แจกมาแค่อยากให้ชาดำเย็นมีไว้ แพรคิดถึงหรือเป็นห่วงจะได้โทรฯ หาได้” แพรพรรณบ่นงึมงำเลยไม่ได้ทันนึกถึงเรื่องที่บอกออกไปว่า คิดถึง
“คิดถึง” ชนาพูดทวนคำ
“นิดนึง” แพรพรรณยิ้มอายๆ ชนาหัวเราะเล็กๆ มองดูคนที่รีบแกะของออกมาจากกล่องแล้วยื่นให้
“ขอบใจนะ สำหรับโทรศัพท์ รวมถึงคิดถึงนิดนึงอีกด้วย มิน่าจามตลอดเลยตอนกินข้าวกับ ดร.น้ำ” ชนาหัวเราะ แต่แพรพรรณจ้องเขม็งเมื่อได้ยินชนาเอ่ยถึงใครบางคนนอกเหนือจากพระพายกับพิมพ์พลอย
“นึกว่าไปหาพี่ไต้ฝุ่นเสียอีก” แพรพรรณถาม แต่น้ำเสียงที่ได้ยินทำให้ชนาอมยิ้มแกล้งทำเป็นเฉยๆ จนกระทั่งโดยหยิกเข้าให้
“เอ๊าหยิกเราทำไมล่ะ เจ็บนะ แพร” ชนาหันมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้
“ลีลาเยอะ ไม่อยากรู้ก็ได้ อุตส่าห์เป็นห่วง” แพรพรรณทำท่าจะลุกหนีแต่โดนรั้งตัวเอาไว้ จนกระทั่งมานั่งอยู่ที่ตักของชนาซึ่งกอดกระชับเอาไว้
“ไปหาพี่ไต้ฝุ่นกับพี่พลอย ส่วน ดร.น้ำ มีแฟนชื่อพี่เอ๋ย และช่วยแนะนำเราเรื่องงานสอนหนังสือ เป็นอาจารย์สอนพิเศษในมหาวิทยาลัยแถวนี้แหละอาจมีต้องเข้ากรุงเทพฯ บ้าง หายงอนยัง” ชนาถามและชะโงกหน้าไปมองดูคนยิ้มอายๆ อยู่เล็กน้อย
“งอนอะไร ใครงอน” แพรพรรณพูดแก้เก้อ
“หวงล่ะสิ” ชนาหัวเราะเล็กๆ
“เป็นห่วงต่างหาก กอดซะขนาดเนี่ย ลุงคำออกมาเห็นเข้าได้ตอบคำถามยาวแน่นะ จะบอกให้” แพรพรรณยิ้มๆ กับความน่ารักของชนา
“ว่าจะขอสมบัติลุงคำเอาไว้เป็นสินสอด แม่กับป้าจะคิดแพงไหม” ชนาถาม แต่เมื่อเห็นแพรพรรณหันมาจ้องหน้าทำให้ชนาหัวเราะ
“บ้าขออะไร ผู้หญิงด้วยกันนะ” แพรพรรณบอก
“จะหนีตามกันหรือไง” ชนาพูดแหย่ เลยโดนบิดจมูกร้องเอะอะจนแพรพรรณต้องเอามือปิดปากเอาไว้ เพราะกลัวว่า ลุงคำได้ยินเข้าจะตกใจ
“ได้เห็นชาดำเย็นที่บ้านนี้ แพรก็มีความสุขแล้วล่ะ แต่ก็นะสุดท้ายคงต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ แหละเนอะ” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ เพราะไม่คิดว่า ชนาจะเอาชีวิตมาฝากไว้กับที่นี่ ซึ่งมีเพียงเรือกสวนไร่นา
“เราอยากอยู่ที่นี่นะ แพร แต่เราไม่รู้ว่า วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แม่จะมาอาละวาดลุงคำหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่สบายใจกับทั้งลุงคำและแพร รวมถึงป้ากับแม่ของแพรด้วย” ชนาไม่คิดว่า จะพูดอะไรออกมาฟังดูจริงจังถึงขนาดที่เรียกได้ว่า ตกลงปลงใจที่จะคบหากับสาวคนที่ยังถูกกอดอยู่ แต่การที่ได้บอกออกไปทำให้รู้สึกสุขใจและสบายใจเป็นอย่างมาก
“มีแฟนหรือยังล่ะ เราน่ะ” แพรพรรณแกล้งถามเสียงเข้ม
“แพรยอมเมื่อไหร่ เราก็มีแฟนเมื่อนั้นแหละ” ชนาหัวเราะคิกคัก
“เปลืองตัวชอบกล ถามอะไรก็ตอบอย่างแยบยล ฉลาดเหลือเกิน แถมยังวกกลับมาถามแพรอีกต่างหาก” แพรพรรณพูด แล้วรีบลุกขึ้นกลับไปนั่งข้างๆ เหมือนเดิม
“เออว่าแต่ว่าที่บ้านมีเรื่องอะไรหรือเปล่า น้าเพ็ญท่าทางเหมือนมีเรื่องกังวลใจ”
“แพรก็คิดเหมือนกันนะ ยังดุแพรเรื่องเดินมาที่บ้านลุงคำด้วย ไม่อยากให้มารบกวน ปกติแม่ไม่เคยว่าเลยนะ ยังบอกให้แวะมาหาบ่อยๆ หรืออาจจะเห็นชาดำเย็นอยู่ เลยกลัวว่าแพรจะนำความรำคาญมาให้มั้ง”
“เราอาจจะไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายมากกว่า งานการยังไม่มีทำแถมยังมาอาศัยลุงคำอยู่อีก” ชนาถอนใจเล็กน้อย
“อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยคิดว่าตัวเองไม่เป็นโล้เป็นพาย จะบ้าหรือเปล่า น่าภูมิใจออก” แพรพรรณยิ้มมองสบตากับชนาที่ยิ้ม
น้อยๆ ให้
“หรือว่า เรื่องของเรา” ชนาพูดโพล่งออกมา
“จริงดิ” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ
“เล่าอะไรให้น้าเพ็ญฟังบ้างหรือเปล่า” ชนาถาม
“เปล่านะ แต่พูดชมชาดำเย็นให้แม่กับป้าฟัง จะได้สะสมคะแนนเอาไว้เพื่อวันข้างหน้าเหมือนที่บอกไง” แพรพรรณบอกเล่าและเริ่มคิดถึงท่าทางรวมถึงอากัปกิริยาของมารดา
“งานงอกล่ะ ถ้าเริ่มจากน้าเพ็ญล่ะก็” ชนาพูดเสียงอ่อยๆ เพราะรู้สึกผิดที่ไปสร้างความไม่สบายใจให้มารดาของแพรพรรณ
“คิดมากไปหรือเปล่า”
“ทำให้ผู้ใหญ่ไม่สบายใจ ก็ต้องคิดนะ” ชนาจ้องมองแพรพรรณที่เริ่มรู้สึกกังวลใจมากขึ้น
“ถ้าใช่ ท้อไหม” แพรพรรณพูดเสียงอ่อยๆ
“แพรจะเป็นกำลังใจให้เราไหมล่ะ” ชนาถาม
“แน่สิ คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ มาปุ๊บทำให้หัวใจชื่นบานได้มากมายขนาดนี้” แพรพรรณพูดเพียงสองคำแรก ส่วนที่เหลือคิดอยู่เพียงในใจ แต่รอยยิ้มได้ทำให้ชนายิ้มกว้างมากขึ้น
“ไม่แปลกใช่ไหม ถ้าเราจะรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ” ชนาถาม
“ก็ให้มันเป็นไปตามความรู้สึกนั่นแหละ เน๊าะ” แพรพรรณยิ้มแล้วดึงตัวชนามากอดเอาไว้ ความหวงแหนที่มารดาและป้ามี แพรพรรณสัมผัสได้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้วว่า เป็นเพราะความรักที่มีให้ เรื่องความรักฉันท์หนุ่มสาวจึงไม่ได้เข้ามากระทบความรู้สึกของแพรพรรณสักเท่าไรนัก มีหนุ่มจำนวนไม่น้อยที่แวะเวียนมาขายขนมจีบ ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่ป้าๆ ของแพรพรรณก็จัดการเสียกระเจิดกระเจิงไป เพราะความดุที่ใครๆ ต่างร่ำลือกันถึงเรื่องของความหวงหลานสาวคนเดียวดุจไข่ในหิน แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากคนที่ทำให้ลูกหรือหลานรู้สึกดีด้วยได้อย่างรวดเร็ว เป็นผู้หญิงคนนี้ คนที่เข้านอกออกในบ้านได้ในฐานะหลานสาวของลุงคำ แพรพรรณกอดกระชับชนาเอาไว้แนบแน่น
“ด่านแรก แม่เพ็ญของแพร” ชนาพูดขึ้น แพรพรรณจากที่รู้สึกกังวลกลับหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างเชื่อมั่น
“ด่านเบาๆ ไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ” แพรพรรณบอกแล้วเอามือทาบทับไปที่แก้มของชนาหวังว่า สัมผัสอ่อนโยนจะสามารถสร้างกำลังใจให้ กับคนที่มีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่
“จูบสักหน่อย ก็จะดีนะ จะได้มีกำลังใจ” ชนาแก้มแดงระเรื่อ
“ผ่านด่านแม่ก่อน ค่อยจูบ ตกลงตามนี้” แพรพรรณหัวเราะคิกคัก ไม่อยากให้ความกังวลใจมาเพิ่มความไม่สบายใจให้กับชนามากขึ้น หากชนาเป็นผู้ชายและได้แสดงความจริงใจให้เห็น พ่วงด้วยการเป็นหลานรักของลุงคำคงฝ่าด่านได้ง่ายกว่าการเป็นผู้หญิง แพรพรรณคิดอย่างนั้น
“งั้นไปช่วยขายของเรียกคะแนนก่อนดีกว่า” ชนายิ้ม
“แพรจะทำอะไรให้ได้บ้างล่ะ ดูเหมือนชาดำเย็นจะเป็นฝ่ายทำอะไรให้แพรอยู่ฝ่ายเดียว” แพรพรรณถาม
“เป็นกำลังใจ เป็นนักเรียนให้หน่อย เราอยากฝึกสอนหนังสือน่ะ”
“ลำบากหน่อยนะคะ ด็อก เพราะแพรน่ะ หัวไม่ค่อยดีสักเท่าไร”
“จ้ะ แม่คนช่างถ่อมตัว กลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวเราจะไปอ้อนแม่แล้วนะ” ชนาจูงมอเตอร์ไซค์คันเก่าแก่ของลุงคำ โดยมีแพรพรรณเดินเคียงข้างออกมาด้วย
“ส่งบ้านด้วยนะคะ พี่วิน” แพรพรรณหัวเราะ
“ค่ะ คุณนายเชิญซ้อนท้ายได้เลยค่ะ” ชนาผายมือให้กับแพรพรรณที่ยืนหัวเราะคิกคักกับความทะเล้นออกจะกวนๆ ของทั้งตัวเองและชนา
“ให้แพรไปด้วยดีกว่าไหม” แพรพรรณถามขณะที่ยืนอยู่หน้าบ้าน
“น้าเพ็ญคงไม่เอาขนมยัดปากเราจนตายหรอกน่า เชื่อเถอะ”
“ถ้าเกิดแม่ถามตรงๆ ชาดำเย็นจะตอบว่าไง”
“แพรอยากให้ตอบว่าอย่างไรล่ะ” ชนาถามกลับ
“ไม่รู้เหมือนกัน หรือเราอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้นะ อีกอย่างเพิ่งรู้จักกันไม่เท่าไหร่ แม่จะว่าไหมล่ะว่า ไวไฟกันเหลือเกินน่ะ” แพรพรรณถอนใจเล็กน้อยมองสบตากับชนา
“แต่แพรจูบเราก่อน น่าจะไวไฟกว่า” ชนาหัวเราะ
“เดี๋ยวเถอะนะ ก็อยากทำอะไรตามอำเภอใจบ้าง แพรไม่เคยจูบใครก่อนนะจะบอกให้” แพรพรรณพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ขอบคุณที่แสดงออกแบบชัดเจนออกมาน่ะ เราจะดูแลแพรรวมถึงผู้ใหญ่ที่บ้านอย่างดี ถึงแม้อีกสี่สาวจะไม่ให้เข้าบ้านก็ตาม เราจะ
เกาะรั้วมองดูสาวทุกวันเล๊ย” ชนายิ้ม หัวใจฟู่ฟ่อง เมื่อเห็นรอยยิ้มของแพรพรรณ
“อย่ามาทำเป็นทะเล้น รู้นะว่า กลัวแม่น่ะ”
“โหรู้ทัน ขยันเข้าถ้ำเสือบ่อยๆ เสือคงจะชินคนตัวเหม็นเข้าสักวัน” ชนายิ้มให้แพรพรรณ ซึ่งกำลังเดินเข้าบ้านไป