ตอนที่ 3

3540 Words
เสียงหรีดหริ่งเรไรขับเสียงเซ็งแซ่แข่งขันกันร้องดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ และถนนหนทางยามค่ำคืนในย่านเศรษฐกิจที่เริ่มจะซาจากการจราจรที่คับคั่ง ทำให้หญิงสาวต้องรีบก้าวเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยเพราะความเงียบสงัดที่เริ่มโรยตัวเข้ามาทุกวินาที และความที่หญิงสาวนั้นเป็นห่วงมารดาที่ต้องอยู่บ้านแต่เพียงลำพัง ทำให้เธอต้องบอกกับตัวเองว่าเธอต้องรีบกลับบ้าน วันนี้เธอผิดเวลาไปมาก ทั้งๆ ที่ได้ให้สัญญากับผู้เป็นแม่ไว้แล้วว่าวันนี้เธอจะไม่ทำงานล่วงเวลา ป่านนี้แม่คงจะเป็นห่วงและรอเธออยู่ เธอต้องรีบไป เพียงแค่เดินพ้นหัวโค้งนี่ก็จะถึงบ้านหลังน้อยของเธอแล้ว หญิงสาวมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง... เป็นบ้านทันสมัยชั้นเดียว ปลูกบนเนื้อที่3 ไร่เศษๆ มีต้นมะม่วงต้นใหญ่ให้ร่มเงา และยังมีพืชผักสวนครัวอีกหลายชนิดที่ยังปลูกไว้ในบริเวณบ้าน เพื่อเป็นการประหยัดไปอีกรูปแบบหนึ่งและที่สำคัญยังไม่ต้องไปเสี่ยงกับพวกยาฆ่าแมลงต่างๆ อีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวต้องการที่จะคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าพ่อของเธอนั้นไม่ได้จากไปไหน แต่ท่านยังคงอยู่กับเธอและแม่อยู่ตลอดเวลา และบ้านหลังนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อของเธอเหลือทิ้งไว้ให้ ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคไตวาย บ้านที่รวมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งความรัก ความสุข และความทุกข์ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ทีไรน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาทุกที หญิงสาวไม่เคยห้ามมันได้เลย ทั้งๆ ที่พยายามสกัดกั้นมันเอาไว้แล้ว ไม่ได้...เธอจะมามัวคิดถึงแต่อดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีกทำไม ตอนนี้เหลือแต่แม่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับเธอ หนำซ้ำยังเป็นกำลังใจสุดท้ายของเธออีกด้วย ดังนั้นจะต้องเข้มแข็งให้มาก หญิงสาวรีบปาดน้ำตาทิ้งแล้วปรับสีหน้าให้มีแต่รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนเรียวหน้าหวาน เมื่อมั่นใจแล้วจึงเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าบ้านไปก่อนจะเอ่ยทักทายกับผู้เป็นมารดา “แม่...แม่จ๋า ดวงกลับมาแล้วจ้า” หญิงสาวเปล่งเสียงร้องเรียกหามารดา ก่อนจะเห็นมารดาของเธอนั้นนั่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ที่เก้าอี้โยกตัวโปรด ก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กๆ ให้หญิงสาวได้ยิน “ทำไมกลับมาเอาป่านนี้...ไหนสัญญากับแม่ว่าวันนี้จะกลับบ้านเร็วไงล่ะ” มารดาเอ่ยขึ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาว อุตส่าห์รับปากไว้ซะดิบดีแต่ยายหนูดันมาผิดนัดซะได้ วันนี้เลยพลาดโอกาสแนะนำบุตรสาวให้รู้จักกับเพื่อนสนิทของตน ที่นานๆ ครั้งจะได้ขึ้นมาจากปักษ์ใต้แล้วเลยแวะมาเยี่ยมเยียน “โธ่...แม่ดวงตาเจ้าขา นี่ดวงก็รีบแล้วนะเจ้าคะ ฝนมันตกแล้วรถมันก็ติดด้วย” หญิงสาวแก้ต่างให้กับตัวเองด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ก็มันเรื่องจริงนี่นา เธอรีบแล้วจริงๆ แต่รถมันติดแล้วฝนก็ตก เลยทำให้เธอผิดนัดที่ให้ไว้กับมารดา “พอเลย...ไม่ต้องพูดเลย เมื่อไหร่หนูจะออกจากงานที่ทำนี่ซะทีนะ แม่บอกตรงๆ เลยนะว่าแม่ไม่อยากให้หนูไปทำงานที่นี่เลย มันอันตราย เป็นสาวเป็นนางกลับบ้านมืดๆ ค่ำๆ มันไม่ดี ถ้ามีใครสังเกตและจำเวลาไปกลับของเราได้มันจะ...” มารดาทิ้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะหันตัวกลับไปมองรูปภาพที่แขวนโชว์ไว้ของผู้เป็นสามี หญิงสาวมองตามสายตาของผู้เป็นมารดาไปก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ จึงเดินเข้าไปหาและสวมกอดมารดาจากทางด้านหลัง พลางกระชับอ้อมแขนให้รัดแน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะพามารดาเดินมานั่งตรงมุมโต๊ะรับแขก พร้อมกับปลอบโยนมารดาให้คลายวิตกในเรื่องเวลากลับบ้านของหญิงสาวให้เข้าใจ “แม่...โธ่ แม่ฟังดวงก่อนสิจ๊ะ” หญิงสาวพยายามรวบรวมน้ำเสียงให้มั่นคง ไม่ให้สั่นไหวไปกับแรงอารมณ์ของมารดา “งานที่ดวงทำ...มันเป็นงานที่ตรงกับสาขาวิชาที่ดวงร่ำเรียนมา ดวงภูมิใจที่ได้ทำงานนี้ แม่ลองคิดดูสิจ๊ะว่าบัณฑิตอีกตั้งมากมายเท่าไหร่ที่ต้องตกงานหางานทำไม่ได้ แต่งานที่ดวงทำอยู่นี่บริษัทต้องมาเข้าคิวรอให้ดวงเป็นฝ่ายเลือกเขา แทนที่บริษัทเขาจะเลือกเรา แล้วเวลากลับบ้านมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ไปตลอดซะที่ไหนกัน ก็เพิ่งจะมาเป็นเอาตอนที่เลขาของผู้จัดการเขาลาคลอดก็เท่านั้นเอง อีกสามเดือนเขาก็กลับมาทำงานเหมือนเดิมแล้ว” หญิงสาวกล่าวออกไปตามความสัตย์จริง “ถึงมันจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แม่รู้ว่าหนูเอาตัวรอดได้ รู้ว่าลูกของแม่นั้นเก่งและก็ไม่กลัวไอ้เรื่องที่แม่พูดมาทั้งหมดนี้ด้วย แต่ถึงยังไงแม่ก็ยังเป็นห่วงหนูอยู่ดีนั่นแหละ แม่เหลือหนูอยู่แค่คนเดียวนะดวงใจ...หนูรู้ใช่ไหมว่าทำไมพ่อกับแม่ถึงตั้งชื่อหนูว่าดวงใจ” มารดาถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อต้องกล่าวถึงความหมายของชื่อบุตรสาวของตน ซึ่งทำให้นางนึกถึงบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดที่ได้จากไปแล้ว หญิงสาวได้แต่ก้มหน้านิ่ง นึกถึงความหมายของชื่อตนเอง ทำไมเธอจะไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเองว่ามันตั้งมาจากอะไร ถ้าไม่ใช้ตั้งมาจากหัวใจของพ่อและแม่ของเธอ ซึ่งมันได้มาจากความรัก ความเอาใจใส่ การประคบประหงมคอยดูแลและเอาใจใส่มาตลอดตั้งแต่เธอจำความได้จนถึงบัดนี้ ความรักที่เธอได้จากท่านก็ไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ขณะนี้จะเหลือแต่เพียงมารดาคนเดียวเท่านั้น “หนูไม่ตอบ แต่แม่ก็รู้ว่าหนูรู้ความหมาย ดวงใจ...หนูเป็นหัวใจของทั้งพ่อและแม่ พ่อเคยบอกว่าที่แม่ชื่อดวงตาก็เพราะว่าแม่จะต้องมาเป็นดวงตาของพ่อ และเมื่อมีหนูเกิดขึ้นมา หนูก็จะต้องมาเป็นดวงใจของทั้งพ่อและแม่” นางดวงตาเอ่ยออกมาพร้อมๆ กับน้ำตาที่เอ่อคลอเต็มสองเบ้าตา “แม่...แม่อย่าร้องไห้เลยนะ ดวงไม่อยากให้แม่ร้องไห้เลย งั้นเอาอย่างนี้นะ พรุ่งนี้ดวงจะลองเข้าไปคุยกับทางฝ่ายบุคคลเขาดูก็แล้วกัน ดูว่าเขาจะหาใครแทนดวงได้บ้างในช่วงนี้ แต่ถ้ายังหาใครแทนไม่ได้แม่ก็ต้องเข้าใจดวงด้วยนะ เพราะว่ามันจำเป็นจริงๆ” หญิงสาวต่อรองกับมารดาเอาไว้ก่อน กันไว้ดีกว่าแก้ เผื่อขอจากฝ่ายบุคคลไม่ได้มารดาจะได้ยอมรับในข้อเสนอของหญิงสาวบ้าง “ก็ได้ แต่หนูต้องสัญญากับแม่อีกอย่างหนึ่งก่อนนะแม่ถึงจะยอม” นางดวงตาต่อรองบ้าง เรื่องอะไรจะยอมให้ยายหนูฝ่ายเดียว ยังไงก็ต้องพยายามให้ยายหนูเอารถไปใช้ให้ได้ จะได้เบาใจไปอีกเปลาะหนึ่ง ว่าถึงจะต้องกลับดึกยังไงแต่ก็มีรถขับมาเอง ไม่ต้องไปเบียดกับใครให้เปลืองเนื้อเปลืองตัว “เรื่องอะไรอีกล่ะคะคุณแม่ดวงตาเจ้าขา ถึงขนาดต้องให้ดวงสัญญาด้วย แต่เอาเถอะ ถ้าหากมันจะทำให้คุณแม่สบายใจดวงก็จะยอมสัญญา” หญิงสาวรับปากไปก่อนที่จะได้รู้รายละเอียด ว่าสิ่งที่นางดวงตาให้สัญญานั้นจะเป็นสิ่งที่หญิงสาวเบื่อมากที่สุด “เอารถไปขับ” นางดวงตาเอ่ยบอกออกไป และนั่นถึงกับทำให้ดวงใจอุทานออกมาเสียงดัง พร้อมกับทำหน้าบอกบุญไม่รับเอาซะเลย “คุณแม่!” “ทำไมจะต้องเสียงดังด้วยล่ะยายหนู แค่แม่บอกให้เอารถไปใช้เองนะเนี่ย” นางดวงตาเอ็ดบุตรสาวพร้อมกับตีที่ต้นแขนไปหนึ่งที ทำให้ดวงใจต้องลูบต้นแขนตนเองไปมาเบาๆ ก่อนจะถอนลมหายใจออกมา พร้อมกับส่งสายตาละห้อยให้กับมารดาก่อนจะกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงอ้อนสุดๆ เพื่อหวังต่อรองกับมารดาของตนว่า “ไม่เอาไปใช้ไม่ได้เหรอคะคุณแม่ดวงตาเจ้าขา ก็ดวงไม่อยากขับรถเลยนี่คะ น้ำมันก็แพงแถมรถก็ติด ไฟแดงก็เยอะ กว่าจะฝ่าไปได้แต่ละด่านโอยยยยเหนื่อยมากๆ” หญิงสาวไม่พูดเปล่า แต่ยกมือยกไม้ทำท่าทางประกอบไปด้วย จนนางดวงตาแทบจะหลุดหัวเราะออกมากับท่าทางของบุตรสาวเพียงคนเดียว แต่ก็ต้องพยายามเก็บสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วทำทีเป็นบึ้งตึงให้ดวงใจเห็นว่าคราวนี้นางดวงตาเอาจริง ไม่ใช่ขู่เล่นๆ “แล้วตกลงจะเอาไปใช้หรือเปล่าล่ะ ก็ถ้าไม่เอารถไปใช้ หนูก็เตรียมตัวไปลาออกจากงานได้เลยนะ เพราะว่าลูกคนเดียวแม่เลี้ยงได้ สมบัติที่คุณพ่อทิ้งเอาไว้ให้ก็ไม่ใช่น้อย” เมื่อมารดายื่นคำขาดออกมาแบบนี้เห็นท่าจะต่อรองยาก แถมยังเอ่ยถึงทรัพย์สมบัติของบิดาที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นทิ้งไว้ให้อีกยิ่งไม่ต้องพูดถึงใหญ่ จริงอยู่ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ต้องทำงานก็ใช่ว่าจะอด เพราะทรัพย์สมบัติที่ผู้เป็นบิดานั้นทิ้งไว้ให้ก็สามารถที่จะกินอยู่ไปได้แบบสบายๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่นั้นมันไม่ใช้นิสัยของเธอ ในเมื่อบิดาพร่ำสอนเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่า ทรัพย์สมบัตินั้นพ่อไม่มีให้หรอกลูก พ่อมีแต่วิชาความรู้เท่านั้นที่จะให้ลูกได้ และมันก็จะอยู่ติดตัวและสามารถเลี้ยงหนูไปจนตายได้ และด้วยคำสอนของผู้เป็นพ่อ ดวงใจจึงไม่เคยเลยแม้แต่สักครั้งเดียวที่จะเอ่ยปากขอเงินจากมารดานับตั้งแต่ที่เธอสามารถหาเงินเองได้ ด้วยเพราะวิชาความรู้ในสาขาที่ร่ำเรียนมานั้นก็ได้ให้ผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบของเงินเดือนได้เป็นที่น่าพอใจ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่จะต้องรีบรับปากกับผู้เป็นมารดาว่าจะเอารถไปใช้ซะก่อนดีกว่า เพื่อไม่ให้มารดาเอาจริงไปมากกว่านี้ “โอเคค่ะแม่ ดวงรับปากแล้วว่าจะเอารถไปใช้เพื่อความสบายใจของคุณแม่สุดที่รัก” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะหยอดคำลงท้ายให้มารดาได้ยิ้มแก้มแทบปริ พร้อมทั้งเปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที เพื่อกันไม่ให้มารดาพูดถึงเรื่องงานของหญิงสาวอีกไปมากกว่านี้ “แล้วตกลงวันนี้ที่แม่ให้ดวงกลับบ้านเร็วๆ แม่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวเอ่ยถามออกไปในขณะที่ตัวเองก็เริ่มจัดโต๊ะอาหารในมื้อค่ำสำหรับทั้งสองแม่ลูก “ก็คุณน้ากรองเกศที่เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ เมื่อครั้งที่คุณพ่อของหนูไปรับราชการที่พังงานะสิ เขาขึ้นมาจากปักษ์ใต้ ก็มาเรื่องงานของเขานั่นแหละ ธุรกิจของเขาเยอะ ทำหลายอย่างจนแม่จำไม่ได้แล้วว่าเขามีอะไรบ้าง” คุณดวงตาทำท่านึกอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “คุณน้ากรองเกศเขาเป็นคนดี อุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยมมาหา ถ้าเขาขึ้นมากรุงเทพฯ เขาก็จะแวะมาเยี่ยมแบบนี้แหละ เขาเคยมาหาแม่หลายครั้งแล้ว แต่ตอนนั้นหนูเรียนโทอยู่ที่เชียงใหม่เลยไม่เคยเจอ ตอนงานศพคุณพ่อ คุณน้ากรองเกศก็ไปต่างประเทศพอดี เพราะว่าลูกชายคนเดียวของเขาประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ รู้สึกว่าคนรักของลูกชายจะเสียชีวิตด้วยนะ แม่เองก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก แล้วคราวนี้ที่คุณน้าเขาขึ้นมาหาแม่อีก แม่ก็เลยอยากจะให้ยายหนูได้รู้จักกับคุณน้ากรองเกศเขาเอาไว้บ้าง เผื่อวันข้างหน้าแม่เกิดล้มหายตายจากไปลูกของแม่ก็ยังจะได้รู้จักว่าใครบ้างที่เป็นเพื่อนกับแม่” มารดากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ราบเรียบ แต่มันทำให้คนที่ฟังรู้สึกเหมือนหัวใจมันวูบโหวงพิกลกับคำพูดของมารดา จนหญิงสาวต้องเอ่ยขึ้น “แม่คะ! เอาอีกแล้ว แม่พูดเรื่องเป็นเรื่องตายอีกแล้ว ดวงไม่ชอบเลย คุณแม่เลิกพูดเรื่องนี้เถอะนะคะ ดวงขอร้อง ดวงไม่อยากได้ยิน แล้วคุณน้ากรองเกศเธอขึ้นมาจากปักษ์ใต้แล้วไปพักอยู่ที่ไหนล่ะคะ ถ้าคุณน้ากรองเกศยังไม่รีบกลับเดี๋ยววันหยุดนี้ดวงจะพาคุณแม่ไปเยี่ยมคุณน้าบ้าง” ดวงใจเอ่ยถามมารดากลับไป เพราะถ้าเพื่อนสนิทของมารดายังพักอยู่ในกรุงเทพฯ ก็ไม่มีปัญหาที่จะไปพบเพื่อทำความรู้จัก “คุณน้ากรองเกศเขามาอยู่ได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว และแม่ก็อยากให้หนูได้ทำความรู้จักกับลูกชายของคุณน้ากรองเกศ แม่คิดว่าถึงเวลาที่จะมีคนมาดูแลลูกสาวเพียงคนเดียวของพ่อและแม่ได้แล้ว จะได้หมดห่วงเสียที” คุณดวงตากล่าวกับบุตรสาวตามตรงโดยไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป สิ้นเสียงของคุณดวงตาเสียงสาวเจ้าดังแทรกทะลุกลางปล้องขึ้นมาโดยพลัน “คุณแม่! ทำไมถึงคิดแบบนั้นละคะ นี่คุณแม่กำลังจะให้ดวงแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยรู้จักหรือแม้แต่เห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลยนะคะ คุณแม่ก็รู้ว่าดวงไม่ชอบการคลุมถุงชนแบบนี้”ดวงใจเอ่ยคัดค้านขึ้นมาทันที “ยายหนูฟังแม่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่เลือกและทำลงไปเพราะรักดวงใจของเราทั้งคู่ อีกอย่างลูกชายของน้ากรองเกศ คุณพ่อของหนูหมายตาจะให้เป็นลูกเขยตั้งนานแล้ว เป็นความหวังสูงสุดของคุณพ่อเลยนะลูก ที่เห็นยายหนูตัวน้อยๆ ของแม่กับพ่อ มีครอบครัวที่เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติรวมไปถึงฐานะทางสังคม อย่าให้แม่ต้องคอยเป็นห่วงหนูเพราะเรื่องคู่ครองอีกเลย”คุณดวงตาเอ่ยพร้อมลูบหน้าลูบหลังบุตรสาวสุดที่รักก่อนจะเอ่ยสำทับ “แม่รู้ว่ามีคนมาจีบหนูหลายคน แต่มีเพียงคนเดียวที่ยายหนูของแม่เลือกที่จะไปไหนมาไหนกับเขา แต่แม่ขอได้ไหมลูก ผู้ชายคนนั้นอายุมากกว่าลูกเป็นรอบ ยากนะที่จะครองตัวเป็นโสด จะมีเมียเก็บแอบซุกซ่อนเอาไว้หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ ผู้ชายที่เราไม่รู้จักที่มาที่ไปและกำพืดของเขาเป็นคนอย่างไงมันจะทำให้เราต้องเสียใจภายหลังแทบจะทุกคน ตอนยังไม่แต่งงานดีใจหายพอแต่งกับเขาไปแล้วเปลี่ยนไปเป็นหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว” และนั้นคือคำกล่าวของคุณดวงตาเมื่อ 5 ปีก่อน ที่ตอกย้ำให้หญิงสาวต้องทบทวนการแต่งงานระหว่างเธอกับนเรศ วิกิจธรานนท์ โดยไม่มีกำหนดว่าจะเข้าพิธีวิวาห์เมื่อใด สาเหตุเพราะชายหนุ่มเป็นบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าเสือผู้หญิง หนุ่มเพลย์บอยที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงเพราะตำแหน่งหน้าที่การงาน เป็นถึงระดับกรรมการบริหารของแบงก์ชาตินั้นเองและที่สำคัญ ภายใต้หน้ากากทางสังคมสุดหรูหรานเรศ คือนักพนันตัวยง ครบเครื่องเรื่องคนเลวที่ชอบทำกัน ร่างงามระหงในชุดทำงานกระโปรงแซกสีขาวละมุนตาเข้ารูปสวย สอดรับกับเรือนร่างงามของเจ้าหล่อนได้อย่างลงตัว เธอค่อยๆ ก้าวเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวภายในสวน ก่อนจะหยุดนิ่งเพื่อทอดสายตามองไปทั่วบริเวณบ้านในยามค่ำคืน บ้านหลังน้อยตั้งอยู่ในพื้นที่สามไร่เศษๆ ถูกห้อมล้อมด้วยตึกสูงระฟ้ามากมายใจกลางกรุง หน้าบ้านคือถนนสีลม อันเป็นถนนหลักสายเศรษฐกิจสำคัญในย่านบางรัก หลังบ้านคือแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน สามารถเดินมารับลมจากแม่น้ำและชมทัศนีย์ภาพยามเมื่อพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างชัดเจน บ้านและที่ดินผืนนี้ของเธอ ถือได้ว่าสวยงามและลงตัวอย่างยอดเยี่ยมมาก อีกทั้งราคาประเมินที่ดินก็สูงลิบลิ่วตารางวา 1 ล้านเลยทีเดียวสำหรับที่ดินซึ่งมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เข้าตำราฮวงจุ้ยของจีนนั้นคือ ที่ดินจักรพรรดิเพราะนอกจากจะล้อมรอบตามตำราฮวงจุ้ยจีนโบราณแล้ว ในโฉนดที่ดินยังมีรูปร่างคล้ายมังกรและนั้นทำให้ผู้คนมากมายต่างเข้ามาติดต่อเพื่อขอซื้อที่ดินจากหญิงสาวซึ่งเธอเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ครอบครองในปัจจุบัน และนั้นคือสาเหตุสำคัญที่เพลย์บอยตัวยงดั่งเช่นนเรศ ต้องแปลงกายเป็นปลิงขลิบทองพยายามเกาะเธอเอาไว้อย่างเหนียวแน่นเพราะหวังครอบครองที่ดินผืนนี้ของเธอเช่นกัน หากเขาได้แต่งงานกับเธอวันใด นั้นหมายถึงที่ดินผืนนี้จะถูกเขาขายทิ้งทันที นอกจากที่ดินผืนงามของคู่หมั้นสาวที่เขาหมายปอง ยังมีเกาะจันทราที่พ่อปลิงขลิบทองหมายมั่นปั้นมือพยายามเป็นตัวกลางติดต่อซื้อขายเพื่อส่งต่อให้กับนายทุนเข้าทำประโยชน์ และถ้าทำสำเร็จผลตอบแทนที่เขาจะได้รับมีมูลค่ามหาศาลอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว หลักตัวเลขร้อยล้านนเรศไม่มอง ต้องตัวเลขหลักพันล้านเท่านั้นจึงจะมีค่าคู่ควรกับการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ หญิงสาวยืนเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าด้วยหัวใจอันเงียบเหงาและแสนว้าเหว่ ทุกวันนี้เธอต้องใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน ท่ามกลางความวุ่นวายที่เริ่มจะรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของเธอเข้าไปทุกขณะ เมื่อคุณดวงตาเฝ้าเพียรถามว่าเหตุใดบุตรสาวเพียงคนเดียวของเธอจึงมิยอมแต่งงานกับคู่หมั้นหนุ่มของเธอเสียที ทั้งๆ ที่นับตั้งแต่นเรศ บินกลับมาจากอเมริกาหลังจากเรียนจบปริญญาเอกได้หลายปีแล้ว เธอและเขาได้เข้าพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางแขกที่เชิญมาร่วมงานนับหลายร้อยคน ทว่าแขกส่วนใหญ่เป็นของคู่หมั้นหนุ่มแทบทั้งสิ้นหากเทียบกับแขกของสาวเจ้า และนั้นทำให้เธอล่วงรู้โดยพลันว่าวิถีชีวิตของเธอและเขาต่างกันอย่างสุดขั้วเลยทีเดียวเมื่อหนุ่มสังคมและชอบปาร์ตี้เป็นชีวิตจิตใจโคจรมาพบกับหญิงสาวที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง แม้จะมีทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายก็ตาม “พี่สิงห์ป่านนี้จะเป็นอย่างไงบ้างก็ไม่รู้ ดวงคิดถึงพี่เหลือเกิน”หญิงสาวรำพึงถึงบุรุษที่เธอเคยมีความรู้สึกดีๆ มอบให้เขาเมื่อ 5 ปีก่อน แต่ด้วยอายุเพียงแค่ 21 ปีทำให้เธอยังไม่รู้หัวใจตัวเองว่าแท้จริงแล้วรู้สึกกับชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเธอถึงหนึ่งรอบเช่นไร หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งมาศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและได้พบกับเธอในขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 หญิงสาวไม่ปฏิเสธเวลาเขาชวนไปไหน แต่เธอก็ไว้ตัวไม่ตามใจเขาเสียทุกครา จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อผลสอบของปีสุดท้ายออกมาเป็นที่เรียบร้อยและสาวเจ้าสอบผ่านทุกวิชา ซึ่งหมายถึงเธอเรียนจบในระดับปริญญาตรี และวันนั้นบุรุษใบหน้าหล่อเหลา ตาคมลึกซึ้งได้ขอเธอแต่งงานโดยมีแหวนทองคำขาวประดับไข่มุกหมายมอบให้กับเธอ แต่สาวเจ้าจำต้องตัดสายสัมพันธ์เพราะต้องเข้าพิธีหมั้นกับหนุ่มสังคมชั้นสูงตามความต้องการของครอบครัว และนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดวงใจไม่เคยได้รับรู้ข่าวคราวของเขาอีกเลย “พี่สิงห์จะยังคิดถึงดวงเหมือนที่ดวงกำลังคิดถึงอยู่ตอนนี้บ้างไหม”หญิงสาวรำพันคร่ำครวญ สองมือลูบไล้ท่อนแขนกลมกลึงของตนเองไปมาเบาๆ เมื่อมีสายลมพาดผ่านต้องกายเธอจนเรือนกายเริ่มเหน็บหนาวขึ้นมาโดยพลัน ร่างระหงรีบเดินตรงไปยังตัวบ้านด้วยความรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง “กรี้ดดดดด”เสียงกรีดร้องของคุณดวงตาดังขึ้นในยามวิกาล หญิงชรากำลังมีเหตุร้ายคุกคามซึ่งเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD