ครอบครัวที่อบอุ่น อุ่นจนร้อน!(4)

1103 Words
ข้ายกน่องไก่ที่ถืออยู่ยื่นไปข้างหน้าและเอ่ยถาม พวกเขาคงจะหิวไม่แพ้ข้าที่เฝ้าหน้าห้องอยู่แบบนั้น            “กินไหม”            คำถามพร้อมแววตาที่ดูไร้เดียงสาขององค์ชายตรงหน้าทำให้พวกเขาเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนที่เจียงหั่วจะกล่าวออกมาอย่างจริงจัง            “ถึงพระองค์จะเอาน่องไก่มาให้พวกกระหม่อม แต่องค์ชายก็ยังคงต้องตอบคำถามกระหม่อมอยู่ดีว่า องค์ชายทำแบบนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”          ข้าหยุดชะงักกับคำถามและกลืนเนื้อไก่ลงคออย่างยากลำบาก ข้าหยิบน้ำมาดื่มแล้วถอนหายใจยาวเพราะความหิวจึงทำให้เผลอใช้กายพลิ้วไหวดุดสายลม            ข้าไม่ตอบคำถามแต่เลือกที่จะนั่งกินต่ออย่างไม่สนใจสายตาที่มองมาอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ความเงียบและท่าทางไม่สนใจของข้าทำให้องครักษ์ทั้งสามยังยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน            “พวกเจ้าไปหาไรกินกันก่อนเถอะ แล้วค่อยมาคุยกับข้าอีกที”            ข้าพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักใหญ่ ความจริงว่าจะไม่สนใจเหมือนกันแต่ข้าก็ไม่ได้ใจร้ายปล่อยให้องครักษ์หิวตายหรอกนะ ทว่าทั้งสามกลับนิ่งเฉย ในเมื่อบอกแล้วไม่ไปข้าก็ไม่ได้สนใจอีกต่อไป อาหารหลากรสอยู่บนโต๊ะพร่องไปครึ่งหนึ่งเมื่ออิ่มแล้วนางกำนัลจึงนำออกไป             ตอนนี้เหลือเพียงข้าและองครักษ์ทั้งสาม ข้าเดินกลับมานั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอนที่แข็งโป๊กที่อาศัยนอนมาแล้วสี่คืน ก่อนจะใช้ลมปราณปิดประตูห้องเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาและเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน            และการกระทำของข้าทำให้ดวงตาของเหล่าองครักษ์เบิกกว้างด้วยความตกใจ ข้ามองอย่างเบื่อหน่ายก็แค่ปิดประตูทำเป็นตกใจกันไปได้ยังมีเรื่องให้แปลกใจอีกเยอะไม่ต้องรีบตกใจก็ได้             “นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าอยากรู้ใช่ไหม” ข้าเอ่ยถามเสียงเรียบดวงตามองพวกเขานิ่งๆ            “องค์ชายทำได้อย่างไร และทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ”            ฮุ่ยเจียนเอ่ยถามอย่างเก็บอาการไม่อยู่ เพราะตอนนี้ไม่อาจสัมผัสลมปราณขององค์ชายน้อยได้เลย            “ข้าได้จากการฝึก พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมาข้าต้องกินยาพิษไปกี่ครั้งแล้ว”            ข้าเอ่ยถามเสียงเย็นเฉียบและคำถามนี้ทำให้เหล่าองครักษ์นิ่งเงียบและคุกเข่าลงพร้อมเพรียงกัน            “โปรดลงโทษเกล้ากระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”            สามเสียงกล่าวมาพร้อมกันและก้มหน้านิ่งรอรับการลงทัณฑ์ ข้ามองตามอย่างนิ่งเฉยก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบทว่าจริงจัง            “ลงทัณฑ์พวกเจ้าแล้วข้าจักได้สิ่งใดนอกจากเสียคนอย่างพวกเจ้าแล้วข้ายังไม่เห็นจะได้รับประโยชน์อะไรเลย สู้ให้พวกเจ้าฝึกฝนให้เก่งมากกว่านี้พอจะคุ้มกันข้าไม่ดีกว่าหรือไง” คำพูดของข้าทำให้เหล่าองครักษ์เงยหน้ามองมาอย่างแปลกใจ            “เหมือนองค์ชายจะเปลี่ยนไปมากพ่ะย่ะค่ะ”            เจียนหั่วกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจเพราะหลายปีมานี้ถึงจะรู้ว่าองค์ชายห้ามีความเฉลียวฉลาดแต่ไม่คาดคิดว่าจะมีความคิดลึกซึ้งขนาดนี้            และที่สำคัญไม่เคยรู้เลยว่าองชายมีวรยุทธ์ที่ดูสูงส่งไม่น้อย จากการปิดผนึกพระทวารและยังท่าร่างก้าวพลิ้วเหมือนสายลมนั่นอีก            “จักเปลี่ยนไปเช่นไรข้าก็คือหลิ่งเหวินมิอาจเปลี่ยนแปลงได้” คำพูดนี้เหมือนข้าจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าแต่พวกเขาอยู่ใกล้ย่อมได้ยิน แม้เวลาจะผ่านมากี่พันปีเกิดกี่ชาติจุดจบข้าก็ยังเป็นหลิ่งเหวินตามบัญชาสวรรค์            เจียงหั่วมองเจ้าเหนือหัวตัวน้อยอย่างไม่เข้าใจ แววตาที่ประกายออกมามันลึกซึ้งเกินกว่าคนธรรมดาอย่างพวกเขาจะเข้าใจ            “ความสามารถข้าพวกเจ้าปิดไว้เป็นความลับเมื่อถึงเวลาข้าจะเปิดเผยเอง ตอนนี้ร่างกายข้าแข็งแรงดีมิได้อ่อนแอเหมือนเมื่อก่อน พวกเจ้าสบายใจได้และข้าคงต้องให้พวกเจ้าช่วยข้าอีกเยอะ” ข้าหันกลับไปบอกเหล่าองครักษ์ที่ซื่อสัตย์                     “พวกเกล้ากระหม่อมน้อมรับบัญชาและยินดีถวายชีวิตให้องค์ชายมานานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”           ทั้งสามกล่าวออกมาราวกับฝาแฝด ฮุ่นเจียงกับฮุ่ยเจินข้ามิได้แปลกใจแต่คนเจียงหั่วกลับทำให้ข้าแปลกใจมากกว่า เจียงหั่วมีอายุได้25ปี นับว่าวรยุทธ์ไม่เลวแต่มันยังดีไม่พอ            สองฝาแฝดนั้นอายุได้23 ปี หากนับอายุทางวิญญาณข้าคงแก่ที่สุด ข้าถอนหายใจอย่างเซ็งๆ อายุวิญญาณช่างมันเถอะจำไว้ว่าตอนนี้ข้า 5 ขวบปีก็พอ            “ดีมาก นับแต่นี้พวกเจ้าต้องนั่งโคจรลมปราณอย่างนี้วันละ3 ชั่วยาม หากวรยุทธ์แข็งแกร่งตอนกลางคืนพวกเจ้าอาจไม่ต้องนอนก็ได้”            ข้าบอกอย่างให้กำลังใจเพราะข้าลองมาแล้วแต่เพราะร่างกายยังเล็กนักข้าจึงต้องนอนวันละ2ชั่วยามแต่คงอีกไม่นานความปรารถนาข้าจะต้องเป็นจริง            “พ่ะย่ะค่ะ”            “พวกเจ้าออกไปพักเถอะข้าจะนั่งโคจรลมปราณ เมื่อถึงยามจื่อจะมีคนมาพบข้าพวกเจ้าน่าจะรู้ดี” ข้าบอกก่อนจะหลับตาลงโดยไม่ได้ใส่ทั้งสามคนอีกต่อไป            เจียงหั่วและสองฝาแฝดมองร่างเล็กวัยห้าขวบปีขององค์ชายด้วยความนับถือ พวกเขาไม่เคยพบเห็นเด็กที่ฉลาดเยี่ยงนี้มาก่อนนี่คงเป็นวาสนาที่จะได้พบเจอกัน พวกเขาก้มหัวคารวะอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป            ทว่าประตูผนึกกลับแข็งแกร่งกว่าที่คิด และสุดท้ายก็ไม่พ้นคนที่นั่งขัดสมาธิเป็นคนเปิดให้... กาลเวลาผ่านพ้น จากวันนั้นข้ามาอยู่แผ่นดินจีนยุคโบราณโดยไม่แน่ชัดว่าเป็นสมัยราชวงศ์ไหนกันแน่ กินเวลายาวนานมาถึง 10 ปี ตอนนี้ข้าอายุได้ 15 ขวบปี            คนอื่นอาจคิดว่าเวลามันช่างเดินเร็วจริงๆ แต่สำหรับข้ามันช่างช้าเหลือเกินเพราะข้าต้องมาอยู่ร่างเล็กๆ นานถึง 10 ปีและข้าก็อยากโตกว่านี้ เพราะร่างเล็กๆ ของข้าจะมีวรยุทธ์แต่มันก็ยังไม่ได้ดั่งใจอยู่หลายส่วนแม้ตอนนี้จะสูงถึง 5 เซียะแล้วก็ตาม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD