ลักษณะท่าทางขององค์ชายห้าอยู่ในสายตาของแม่ทัพลู่เสียนตลอดเวลา คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย ประสบการณ์สั่งสอนมายาวนานทำให้รู้สึกว่าองค์ชายห้ามีดีมากกว่าที่เห็นภายนอก
“หลิ่งเหวินเจ้าหายดีแล้วอย่างนั้นเหรอถึงได้ออกมาเดินเล่นไกลเยี่ยงนี้” องค์ชายเจ็ดที่อายุมากกว่าข้า 3 ขวบปีเอ่ยทักทายด้วยความสงสัย
“ข้าสบายดีท่านพี่เจียวฝาง” ข้าเอ่ยตอบตามความทรงจำที่มีแต่มิได้ส่งยิ้มให้เหมือนกับพี่สาม
“เจ้าอย่าเสียเวลาพูดคุยกับคนชั้นต่ำเยี่ยงนั้นเลยน้องเจ็ด” องค์ชายรองซูเมิ่งกล่าวออกมาเหยียดหยาม ก่อนจะสะบัดชายผ้าจากไปและองค์ชายเจ็ดเจียวฝางก็รีบตามไปทันที คงรู้แล้วสินะว่าทำไมข้าไม่ยิ้มให้พี่เจ็ด มันช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเสียจริงๆ อุ่นจนร้อน!
“องค์ชาย”
เสียงเรียกจากทางด้านหลังมาจากองครักษ์เจียงหั่วน้ำเสียงห่วงใยที่ส่งผ่านมานั้นทำให้ข้ายกมือขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปมอง
“ข้าไม่เป็นไร พวกเราไปนั่งดูที่ใต้ต้นไม้นั้นเถอะ”
ข้าบอกพร้อมเดินนำทาง แต่ที่น่าแปลกแม่ทัพฝ่ายซ้ายลู่เสียนเดินตามข้ามาด้วยคน ข้าไม่ใส่ใจนั่งลงขัดสมาธิเฝ้ามองการเคลื่อนไหวต่อสู้พวกเขาไปเงียบๆ
และแอบเดินลมปราณเล่นเบาๆ ไปด้วยให้เหมือนกับการหายใจที่ไม่สามารถจับได้ว่ากำลังฝึกฝน สายตาจดจำท่าดาบและกระบี่ที่พวกพี่ๆ ฝึกฝนเข้าไปเก็บไว้ในความทรงจำ
“องค์ชายหลิ่งเหวินไม่คิดจะฝึกบ้างเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ลู่เสียนเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้หลังจากสังเกตองค์ชายน้อยมานานการเดินแต่ละทวงท่านั้นเบาเหมือนสายน้ำและการนั่งดูนั้นกลับนิ่งเงียบเหมือนผู้ฝึกยุทธ์
ทว่าวัยเพียง 5 ขวบปีทำให้ไม่อาจคาดเดาได้ เพราะรู้ดีว่าองค์ชายท่านนี้ร่างกายไม่แข็งแรงเพราะโดนยาพิษอยู่บ่อยครั้ง จนยากแก่การพบเจอ แต่วันนี้กลับได้พบเจอนับว่าแปลกมาก
“ท่านคิดว่าเด็กเพียงห้าขวบเช่นข้าจะมีแรงจับกระบี่หรือดาบอย่างนั้นหรือท่านแม่ทัพ”
ข้ากล่าวตอบโดยไม่ได้หันไปมองหน้าคู่สนทนาแต่กลับเฝ้ามองกระบวนท่ากระบี่จากองค์ชายหนึ่งอย่างไม่คาดสายตา และคาดว่าคงอีกไม่นานน่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
คำถามขององค์ชายห้าทำให้ลู่เสียนแปลกใจมาก เพราะนับจากที่สนทนากันเพียงไม่กี่คำทว่าแต่ละคำพูดล้วนมีน้ำหนักจริงและมีเหตุผลจนไม่น่าเชื่อว่าเด็กวัยห้าขวบจะคิดอะไรลึกซึ้งได้
“หากข้าทำกระบี่ที่เหมาะสมกับองค์ชาย องค์ชายจะฝึกด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” คำถามของแม่ทัพฝ่ายซ้ายทำให้ข้าอดครุ่นคิดไม่ได้ ใยเขาถึงสนใจในตัวข้าและลงทุนจะหากระบี่ที่เหมาะสม
“ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนอย่างนั้นเหรอท่านลู่เสียน” ครั้งนี้ข้าหันกลับมาจ้องมองคู่สนทนาและค้นหาความจริงในแววตาคู่นั้น เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าไม่มีสิ่งใดได้มาฟรีๆ
“องค์ชายหากข้าบอกท่านว่าข้าคือลุงของท่าน ท่านจะเชื่อหรือไม่”
คำถามพร้อมแววตาจริงจังที่มองตอบมาทำให้ข้านิ่งเฉยพิจารณาคำพูดของอีกฝ่ายเงียบๆ ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองกระบวนท่าในลานประลองอีกครั้ง
“ท่านแม่ทัพหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หากท่านมีสิ่งใดจะพูดกับข้ายามจื่อไปพบข้าที่ตำหนัก”
คำตอบขององค์ชายน้อยทำให้แม่ทัพฝ่ายซ้ายที่ผ่านศึกมามากมายชะงักงัน ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กน้อยตรงหน้านี้มีความคิดลึกซึ้งยิ่งนัก
ลู่เสียนเงียบงันเหมือนเข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่อได้ดี ข้าเฝ้ามองและจดจำกระบวนท่าได้หมด เมื่อไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่ ข้าจึงลุกขึ้นยืนเพราะตอนนี้ไม่มีความจำเป็นแล้วที่จะเฝ้าดู
“ข้าเหนื่อยจะกลับตำหนัก”
ข้าหันไปบอกลู่เสียนก่อนจะก้าวเดินจากไปโดยมีองครักษ์เดินติดตามไม่ห่าง ระยะทางที่ผ่านห้องอักษรที่เป็นห้องเก็บหนังสือมากมายในราชวังทำให้ข้าแวะเข้าไปโดยที่องครักษ์ทั้งสามไม่อาจตามเข้าไปได้นอกจากรอที่หน้าประตู
ข้าเฝ้าอ่านหนังสืออยู่นั้นในนั้นเกือบ 3 ชั่วยามเนื่องจากภาษาเก่าแก่จนยากจะอ่านได้ง่ายและยังมีคำตกหล่นมากมายบางทีก็หงุดหงิด ไม่รู้ว่าผ่านเข้ามาในห้องอักษรได้อย่างไร ดีนะมันเป็นเรื่องการปกครองเท่านั้น
ข้าเปิดประตูออกมาเมื่อถึงยามเซิน เพราะตอนนี้ข้าหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว ข้าไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินกลับตำหนักอย่างเดียวและด้วยความหิวทำให้ข้าเดินเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้
“พวกเจ้าเห็นเหมือนข้าหรือไม่”
ฮุ่ยเจียนเอ่ยถามพร้อมขยี้ตาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ตอนนี้ร่างเล็กๆ ขององค์ชายกำลังก้าวพลิ้วไหวกลับไปทางตำหนักอย่างรวดเร็ว หากไม่สังเกตดีเหมือนกับว่าร่างนั้นหายตัวไปยังจุดข้างหน้าเรื่อยๆ
“ข้าก็เห็นเหมือนเจ้านั่นแหละ แต่รีบตามไปเถอะ”
ฮุ่ยเจินแฝดผู้น้องบอกและรีบใช้วิชาตัวเบาตามติดองค์ชายไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอีกสองคน
“แม่นมข้าหิวจังมีอะไรให้ข้ากินบ้าง” ข้าเอ่ยถามทันทีเห็นหน้าแม่นมที่ข้าไม่ให้ตามเข้าไปเพราะที่ลานประลองมีแต่ผู้ชาย
“หม่อมฉันเตรียมไว้ให้แล้วเพคะ เดี๋ยวจะจัดออกมาถวายเพคะ”
แม่นมตอบรับด้วยรอยยิ้ม ความจริงนางกำลังเป็นห่วงอยู่พอดี ตอนแรกคิดว่าไปเสวยที่ตำหนักขององค์ชายสามเสียอีก
เมื่ออาหารมาพร้อมข้าไม่รอช้าที่นั่งกินอย่างรวดเร็ว ครั้งหน้าถ้าจะไปห้องอักษรคงต้องหาข้าวห่อไปไว้บ้างแล้ว แต่ว่าที่นี่มีห่อข้าวหรือเปล่าหว่า ขณะที่ข้านั่งกินเงียบๆ
และครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาข้าก็สบกับสายตาเหล่าองครักษ์ทั้งสามที่จ้องข้าไม่วางตา ความจริงข้าลืมพวกเขาไปเสียสนิทเพราะความหิวเลยไม่ได้สนใจ