เพียงไม่นานองค์ชายทั้งสองก็มาถึงหน้าห้องข้า องค์ชายหนึ่งอวิ้นอวี้ใส่ชุดสีแดงซึ่งเป็นสีที่เสด็จพ่อประทานให้ ส่วนองค์ชายสี่หานเจิ้นใส่ชุดสีน้ำเงินเข้มที่เสด็จพ่อประทานให้เช่นกัน ส่วนข้านั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์และท่านพี่สามสีเขียวอ่อนดูอ่อนโยนและสบายตา
“ข้าหลิ่งเหวินขอคารวะท่านพี่ทั้งสอง”
ข้าก้มหน้าทักทายตามธรรมเนียนเพียงเล็กน้อย ความจริงข้าไม่อยากจะทักทาย 2 คนนี่เสียด้วยซ้ำแต่ข้ารู้ฐานะตัวเองตอนนี้ดี
“เฮอะ อย่าคิดว่าข้าจะมาเยี่ยมเจ้า แค่จะมาดูให้แน่ใจเท่านั้นว่าเจ้าใกล้ตายหรือยัง”
องค์ชายสี่หานเจิ้นกล่าวออกมาอย่างไม่รักษาท่าที ทำให้ข้าต้องเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ข้ามิทันได้ตอบอะไร องค์ชายอวิ้นอวี้พูดแทรกเสียก่อน
“ใยเจ้าถึงพูดเยี่ยงนั้นน้องสี่ หลิ่งเหวินนั้นดวงแข็งเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ตายง่ายๆ หรอก จริงไหมหลิ่งเหวิน”
แม้น้ำคำที่พูดเหมือนจะอ่อนโยน ทว่าคำพูดนั้นกลับสามารถกรีดลึกเข้าหัวใจได้ดี แต่คนที่ดูเดือดร้อนใจแทนข้ามากที่สุดคือคนข้างตัวที่กำมือข้าแน่น มองสบตาองค์ชายทั้ง 2 คนอย่างไม่หวาดหวั่น
“นั่นหรือคือคำพูดของผู้มีสายเลือดเดียวกัน พวกท่านยังมีจิตใจความเป็นคนอยู่หรือไม่”
เฟยหยางเอ่ยถามเสียงแข็งทำให้องค์ชายทั้งสองหันมามองอย่างเดือดดาล
“ข้าไม่นับพวกชั้นต่ำเป็นพี่น้อง ข้ามาวันนี้เพื่อดูให้แน่ใจว่าครั้งหน้าคงต้องวางแผนให้มากกว่านี้” องค์ชายสี่หานเจี้ยพูดทิ้งไว้ก่อนจะเดินสะบัดตัวจากไปอย่างไม่ไยดี
“น้องสาม น้องห้า อย่าได้ถือสาน้องสี่เลย ข้ามานี่ตั้งใจเยี่ยมเจ้าจริงๆ วันนี้ได้นำดอกเหมยที่ออกดอกงามตามาฝากเจ้าด้วย”
องค์ชายอวิ้นอวี้บอกพร้อมให้คนนำช่อดอกไม้ดังกล่าวมายื่นให้ข้า แม้จะวัยเพียง 15 ปีแต่แววตานั้นกลับยากจะคาดเดา แต่ความรู้สึกของข้าในตอนนี้คือไม่ไว้ใจ ข้าจัดอันดับความอันตรายของเหล่าพี่น้องไว้ภายในใจ
“ขอบพระทัยท่านพี่ที่เป็นห่วง”
ข้าบอกกล่าวเบาๆ แม้อวิ้นอวี้จะยิ้มให้ข้าอย่างอ่อนโยน แต่ข้ารู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าที่อ่อนโยนนี้มันน่ากลัวกว่าหานเจิ้นเสียอีก
เพียงไม่นานอวิ้นอวี้ก็จากไปพร้อมเหล่าองครักษ์ส่วนตัว เหลือเพียงข้ากับพี่สามเท่านั้น ข้ามองไปที่ดอกเหมยอย่างไม่ไว้ใจ
“ต่อไปนี้เจ้าต้องระวังให้ดีนะหลิ่งเหวิน ข้าคงต้องไปฝึกวิชากับอาจารย์แล้ว”
คำบอกกล่าวของเฟยหยางพร้อมร่างเล็กๆ ลุกขึ้น มือข้าเร็วกว่าความคิดคว้ามือพี่สามเอาไว้ ดวงตาใสๆ มองพี่สามแล้วกล่าวขอด้วยความหวัง
“ให้ข้าไปดูท่านพี่ฝึกวิชาด้วยคนนะ”
เฟยหยางหยุดนิ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้ารับทำให้ข้ายิ้มกว้างอย่างยินดี อย่างน้อยก็ทำให้ข้าออกห่างจากตำหนักที่แสนน่าเบื่อตรงนี้ไปได้
และก็ไม่มีใครกล้าขัดการตัดสินใจของพี่สาม ก่อนที่ข้าจะเดินตามที่สามออกไปสายตามองไปยังช่อดอกเหมยอีกครั้ง
“ฮุ่ยเจิน เจ้าเอาดอกเหมยไปทิ้งให้ข้าด้วยอย่าให้องค์ชายหนึ่งรับรู้”
ข้าสั่งก่อนจะเดินตามหลังพี่สามไปร่างเล็กๆ ของเด็กวัย 5 ขวบทำให้ข้ายังไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่ได้เดินสะดุดอะไร เฟยหยางหันมามองอย่างแปลกใจที่หลิ่งเหวินมีคำสั่งให้ทิ้งดอกเหมยแต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใด
แม้จะวัยเพียง 10 ขวบปีแต่กลับชาญฉลาดและรู้ว่าอะไรควรพูดและไม่ควรพูด องค์ชายสามเกิดจากพระสนมเอกเหมยฟางที่เป็นที่โปรดปรานอยู่ในขณะนี้จึงทำให้พี่น้องคนอื่นๆ เกรงใจเล็กน้อย
ร่างเล็กๆ ของข้าเดินตามเฟยหยางไปช้าๆ สายตากวาดมองรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น และมีบรรดาองครักษ์ติดตามอย่างใกล้ชิดเหมือนเช่นทุกครั้ง
แม้มันจะน่าเบื่อข้าจะพยายามไม่สนใจแล้วกันหรืออีกทางคือทำตัวให้ชิน
ข้าเดินมาหนึ่งลี้ก็มาถึงลานประลอง ทุกคนที่ติดตามหันมามองอย่างแปลกใจที่ข้ารู้สึกไม่เหนื่อยหอบ
“เจ้าไม่เป็นไรนะน้องห้า”
เฟยหยางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเพราะระยะทางจากตำหนักน้องห้ามาถึงลานประลองก็หนึ่งลี้ซึ่งมันนับว่าไกลมากสำหรับเด็กห้าขวบแต่หลิ่งเหวินกลับไม่บ่นอะไร
“ข้าสบายดีท่านพี่ไม่ต้องห่วงหรอก ท่านพี่ไปฝึกเถอะเดี๋ยวข้าจะนั่งดูอยู่ใต้ร่มไม้นั้น”
ข้าส่งรอยยิ้มสดใสให้พร้อมชี้ไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ห่าง เฟยหยางพยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าไปกลางสนามซึ่งทุกคนในสนามต่างหันมาทางนี้ด้วยความแปลกใจที่เห็นข้าอยู่ที่นี่ด้วย
“ถวายบังคมองค์ชายห้า ข้าไม่คิดว่าพระองค์จะมีเรี่ยวแรงเดินมาถึงที่นี่ได้”
ชายกลางคนร่างกายกำยำสูงใหญ่เอ่ยทักทายข้า แต่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าคนตรงหน้าคือใครเพราะในความทรงจำของหลิ่งเหวินมีไม่มากนัก
“ข้าแค่มาดูพี่สามฝึกดาบเท่านั้น ไม่ทราบท่านคือ...”
ข้าเว้นว่างไว้พร้อมเอียงคอถามอย่างน่ารัก ไม่ใช่ข้าอยากทำตัวให้น่ารักแบบนี้แต่มันเป็นวิธีที่จะทำให้ได้คำตอบง่ายที่สุด
“โอ้ ข้าขอประทานอภัย ข้าลู่เสียนเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้ายพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย”
แม่ทัพฝ่ายซ้ายตอบพร้อมหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ข้าพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“องค์ชายสามารถเดินมาถึงที่นี่ได้แสดงว่าสุขภาพดีขึ้นแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่เบื่อที่ต้องอยู่แต่ตำหนักเลยอยากมาดูพี่สามฝึกดาบ”
ข้าบอกด้วยเสียงราบเรียบ สายตามองดูพี่สามที่กำลังใช้ดาบฟาดฟันคู่ต่อสู้อย่างคล่องแคล่วและเพียงไม่นานข้าก็เห็นบรรดาพี่น้องมายังสนามประลองแห่งนี้
ข้ามองเห็นองค์ชายรองและพี่น้องคนอื่นๆ ข้าไม่รู้ว่าเสด็จพ่อเรียงอันดับองค์ชายอย่างไรถึงทำให้ข้าได้เป็นองค์ชายห้าได้ ทั้งที่ความจริงอายุข้าในตอนนี้น่าจะเป็นองค์ชายเก้าเสียมากกว่า