ข้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกในตอนนี้คือปลอดโปร่งและมีเรี่ยวแรงมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า บ่งบอกว่าข้าทะลวงจุดผ่านพ้นไปได้อย่างดี แม้จะใช้เวลาไม่นานแต่ความเชี่ยวชาญเมื่อยังเป็นเอกบดินทร์ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเพียงแค่ฝึกฝนอีกไม่นานคงจะเก่งขึ้น
ผัวะ!
โครม!
ข้าหันไปตามเสียง ทำให้เห็นบานประตูหลุดออกมากองอยู่ไม่ห่างจากข้า พวกเหล่าองครักษ์วิ่งเข้ามาหาด้วยความเร็ว
“องค์ชายทรงเป็นอะไรหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมทรงเรียกตั้งแต่ยามสายจนมืดค่ำทำให้ต้องตัดสินใจพังพระทวารเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ” ข้ามององครักษ์ที่ชื่อเจียงหั่วเอ่ยถามพร้อมสำรวจร่างข้าจนทั่ว
“ข้าไม่ได้เป็นไร” บอกเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ข้าหิวจังมีอันใดให้กินบ้าง”
ข้าเอ่ยถามเพื่อตัดปัญหา ซึ่งคำถามของข้าก็ทำให้แม่นมรีบไปหาเครื่องเสวยมาให้ข้ากิน ข้าลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามนาง
ทว่าสายตาที่จ้องมองข้าเหมือนจะมองทะลุให้ถึงกระดูกของเหล่าองครักษ์ทำให้ข้านั่งลงบนเตียงนอนอีกครั้ง
“พวกเจ้าจะมองข้าไปถึงเมื่อไร”
“ขออภัยองค์ชาย แต่พวกกระหม่อมสัมผัสได้ถึงลมปราณของพระองค์แม้จะแผ่วเบาแต่ก็พอสัมผัสได้”
คำตอบขององครักษ์นามฮุ่ยเจียนซึ่งเป็นฝาแฝดคนพี่ขององครักษ์ฮุ่ยเจิน อดทำให้ข้าตกใจไม่น้อย อาจเพราะกำลังฝึกใหม่ๆ ทำให้ข้าเก็บลมปราณยังไม่ได้
“หากพวกเจ้าสัมผัสได้แล้วมันคือลมปราณอะไร”
ข้าเอ่ยถามพร้อมเอียงหน้าถามเหมือนไร้เดียงสา ดวงตาพราวใส มองสามองครักษ์ที่หันหน้ามองกันเงียบๆ
“พวกกระหม่อมสัมผัสได้เพียงแผ่วเบา มิอาจบอกได้ว่าคือลมปราณอะไร และตอนนี้มันหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงหั่วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำให้ข้าลอบอมยิ้มออกมานิดๆ
“พวกเจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย ข้าหิวมากแล้ว”
ข้าบอกเมื่ออาหารมาถึง ก่อนจะรีบไปที่โต๊ะเล็กกลางห้องทันทีพร้อมลงมือกินอาหารอย่างไม่เปิดโอกาสให้ใครได้เอ่ยถามอีกครั้ง
จากนั้นข้าก็ไปอาบน้ำนอน รอดจากการสอบถามไปอีกหนึ่งวัน...
เช้าวันนี้ช่างครึกครื้นเสียจริงๆ ตอนนี้ตำหนักที่ข้าอยู่มีคนมากมายเพื่อมาเยี่ยมเยียนข้า โดยเฉพาะมีเสด็จพ่อที่ข้าเพิ่งเห็นหน้าครั้งแรกตั้งแต่ที่ฟื้นขึ้นมาในชีวิตใหม่นี้ แต่ข้าก็รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร
“ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” ร่างเล็กของเด็กวัยห้าขวบของข้าตอนนี้นั่งคุกเข่าก้มหน้าถวายบังคมเจ้าเหนือหัวของแผ่นดินนี้อย่างนอบน้อมตามความทรงจำ
“ลุกขึ้นเถอะ อย่าได้มากพิธี” เสด็จพ่อบอกพร้อมประคองร่างข้าให้ลุกขึ้นไปนั่งบนเตียง
“พ่อเพิ่งกลับมาจากราชการเมื่อได้ข่าวเรื่องเจ้าจึงรีบมาดูอาการ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามเหมือนห่วงใยและแววตาคมที่มองอย่างจริงจังนั้นทำให้ข้ารู้สึกดีไม่น้อย
“หลิ่งเหวินขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงกรุณา ลูกอาการดีขึ้นแล้ว คงอีกไม่นานจะเข้าไปซนที่ห้องอักษรของเสด็จพ่อได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของข้าทำให้พระองค์หัวเราะออกมาอย่างขำๆ มือหนายกขึ้นลูบศีรษะข้าอย่างแผ่วเบา
“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ข้าก็เบาใจ หากเหิงเยว่รู้ว่าดูแลเจ้าไม่ดีข้าคงรู้สึกผิด” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าก่อนจะปรับสายตาให้เข้มแข็งดั่งเช่นทุกครั้ง
ข้ามองตามเสด็จพ่ออย่างเข้าใจ เหิงเยว่ที่เสด็จพ่อพูดถึงคือมารดาในชาตินี้ของร่างนี้ และนางเป็นเพียงกำนัลเท่านั้นทำให้ถูกกลั่นแกล้งจนต้องสิ้นชีพไปด้วยยาพิษ แต่ก็มิอาจจับได้ว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการสังหาร มันน่าเศร้าจริงๆ
“เอาเถอะ เจ้าพักผ่อนหายดีเมื่อไหร่เจ้าค่อยไปซนที่ห้องอักษรแล้วกัน”
เสด็จพ่อบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะกลับตำหนักของตัวเอง ข้ามองตามร่างสูงสง่าที่ใส่ชุดสีเหลืองอร่ามในเครื่องแบบของฮ่องเต้หรือจักรพรรดิในยุคสมัยนี้ เดินสะบัดชายผ้าจากไปอย่างครุ่นคิด
แม้จะวัยสี่สิบเจ็ด ปีแต่กลับดูหนุ่มแน่น หวังว่าพระองค์จะมีชีวิตที่ยืนยาวเพื่อความสงบระหว่างพี่น้อง รอจนกว่าข้าจะโตและช่วยเหลือตัวเองได้ก่อนแล้วกัน ค่อยสวรรคตข้าไม่ได้แช่งนะแต่ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้น
“องค์ชายสามเฟยหยางเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เข้ามารายงานหลังจากที่เสด็จพ่อจากไป ทำให้ข้านึกถึงความทรงจำของหลิ่งเหวิน ทำให้รู้ว่าองค์ชายสามนั้นมีจิตเมตตาและช่วยเหลือหลิ่งเหวินอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้มีอายุแค่สิบขวบปีเท่านั้น
“น้องห้าเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง” ร่างเล็กที่อายุสิบขวบปีเดินเข้ามาพร้อมเอ่ยถามด้วยความห่วงใย แววตาพราวสดใส “ข้าสบายดีท่านพี่”
ข้าตอบกลับเรียบๆ แต่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงนอนไม่ขยับไปไหน องค์ชายสามเฟยหยาง เดินเข้ามานั่งข้างกายก่อนจะเรียกองครักษ์ส่วนตัวเอาของกำนัลมาให้
“นี่เป็นดาบไม้ที่ข้าตั้งใจทำให้เจ้า ข้าขอโทษที่ช่วงนี้ไม่ได้มาเที่ยวเล่นกับเจ้าเพราะต้องฝึกวิชาดาบ และทำให้ข้าคิดถึงเจ้าอยากให้เจ้ามาร่วมฝึกด้วยกัน แต่ข้ารู้ดีว่าร่างกายเจ้านั้นไม่ปกติ ข้าจึงอยากให้เจ้ามีไว้เล่นแก้เหงา”
องค์ชายสามบอกด้วยรอยยิ้มสดใส ข้ามองดาบไม้ในมือความประณีตที่เห็นทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของคนทำให้ ข้ายื่นมือเล็กๆ ไปจับดาบไม้ของพี่สามมาถือ ซึ่งมันก็พอดีมือข้าอย่างไม่น่าเชื่อ
“ขอบพระทัยท่านพี่ ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี”
ข้าบอกด้วยรอยยิ้ม มิตรภาพที่ข้าได้จากองค์ชายเฟยหยางทำให้รู้ว่าอย่างน้อยที่โลกแห่งนี้ก็ยังมีคนห่วงใยเพิ่มอีกหนึ่งคน
“องค์ชายอันดับหนึ่งอวิ้นอวี้ และองค์ชายสี่หวนเจี้ยเสด็จ” เสียงร้องตะโกนดังอยู่หน้าตำหนักทำให้ข้ากระตุกยิ้มที่มุมปาก วันนี้คงจะเป็นวันรวมญาติกันหรือไง