“สุขภาพเจ้าดีขึ้นแล้วหรือถึงได้มาร่วมงานต้อนรับครั้งนี้ได้” ข้ายิ้มรับคำถามของเสด็จพ่อก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ขอบพระทัยที่ทรงกรุณา ยาที่เสด็จพ่อให้ไปทำให้ข้าเดินเหินได้นานขึ้น จึงอยากมาร่วมงานต้อนรับท่านอ๋องฉินด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีๆ ถ้าเจ้าดีขึ้นพ่อจะให้คนหามาให้เจ้าได้กินอีก พ่อหวังว่าเจ้าจะได้ท่องเที่ยวตามที่ใจปรารถนา”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มยินดี แต่ในใจข้านั้นได้แต่กล่าวขออภัยอยู่ในใจเพราะยาที่ท่านให้มาข้าเอาไปบริจาคให้คนยากไร้หมดแล้ว อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้ทิ้งยาที่เสด็จพ่อให้มานะ
“น่ายินดียิ่งที่น้องห้าเริ่มเดินเหินได้”
รัชทายาทอันดับหนึ่งกล่าวทักทายข้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ข้ายิ้มรับไมตรีตามมารยาทก่อนจะขอตัวกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองเมื่อขันทีตะโกนบอกว่าท่านอ๋องฉินและคณะได้มาถึงแล้ว
ข้ามองตามร่างอ๋องฉินของแคว้นฉินเดินเข้ามารูปร่างสูงใหญ่ที่ดูสะดุดตาและตามมาด้วยร่างดรุณีนางหนึ่งเดินตามหลังมาพร้อมเหล่าข้าบริวาร
“ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้มีพระชนมายุยืนยาวพ่ะย่ะค่ะ” ข้ามองตามร่างอ๋องฉินอย่างพิจารณา และหญิงสาวที่ตามมาก็ทำความเคารพเสด็จพ่อมิต่างกัน
“นั่นองค์หญิงเหมยฮัวบุตรีของอ๋องฉิน”
พี่สามกระซิบบอกข้าเบาๆ ข้าพยักหน้ารับรู้ตอนนี้ข้าได้นั่งอยู่ใกล้พี่สามเพราะหวงเจิ้นได้ถูกปลดตำแหน่ง และด้วยความกรุณาที่เสด็จพ่อคิดว่าเป็นลูกในไส้ตลอดมาจึงแค่ขับไล่ออกจากแคว้นโจวเท่านั้น ส่วนสนมลี่จูนั้นได้ฆ่าตัวตายอยู่ในคุกก่อนจะโดนตัดสินโทษ
“คงไม่ได้มาสร้างสัมพันธ์ระหว่างแคว้นโจวกับแคว้นฉินโดยให้องค์หญิงเหมยฮัวแต่งงานกับใครคนใดคนหนึ่งหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
ข้าพูดขึ้นเบาๆ และนั่นทำให้พี่สามถึงกับพยักหน้ารับอย่างหนักใจ แต่ข้ารู้สึกโล่งอกเพราะอย่างน้อยไม่ใช่ข้าแน่นอน แต่เมื่อปรายสายตามองพี่สามแล้วคิดว่าคงอีกไม่นานจะต้องโดนจับแต่งเช่นกัน
“เชิญนั่งเถอะอ๋องฉิน หวังว่าเจ้าจะสุขสบายดี”
“ขอบพระทัยในความกรุณาพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงพูดคุยของเสด็จพ่อทำให้ข้านั่งนิ่งอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเช่นเดียวกับพี่สามเพราะรู้ว่าตอนนี้กำลังถูกจับตามอง
“หนุ่มรูปงามนั่นใครกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อกลางวันข้ายังมิเคยเห็น”
คำถามของอ๋องฉินทำให้ข้าปรายสายตาไปมองบรรดาพี่ชายและน้องชาย ข้าก็เห็นพากันหน้าตาดีทุกคน แล้วใครกันละรูปงามของท่านอ๋อง แต่ว่าข้าก็เป็นคนหนึ่งที่ยังไม่เคยเจออ๋องฉินโดยตรง
“นั่นองค์ชายห้า หลิ่งเหวินบุตรของข้าเอง”
คำตอบของเสด็จพ่อทำให้ข้าสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะก้มหน้าทักทายอ่องฉินตามารยาท
“ข้าหลิ่งเหวินคารวะท่านอ๋องฉิน”
“อย่าได้มากพิธีเลย คนกันเองทั้งนั้นอีกไม่นานคงได้เป็นญาติกัน จริงหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อ๋องฉินพูดพร้อมหันไปถามความเห็นเสด็จพ่อที่ยิ้มหน้าบานพยักหน้ารับ ไม่ใช่ไปแอบตกลงกันมาหรอกนะ และดรุณีนางน้อยที่อายุไม่เกิน 17 ปี ก็ขวยเขินหน้าแดงข้างกายบิดา ข้าลอบถอนหายใจหวังว่าคงไม่คิดจะให้คู่กับข้าหรอกนะ ข้าเพิ่งอายุได้เพียง 15 ปีเอง
การสนทนาพร้อมอาหารสุราชั้นดีถูกเสิร์ฟมามากมาย และยังมีเหล่านักแสดงทั้งหลายมารำถวายให้ด้วย แม้ข้าจะนั่งทานอาหารเงียบๆ แต่ข้าก็สังเกตกิริยาทุกคนที่อยู่ในนี้จนหมด แค่มองข้าก็รู้แล้วว่าใครคิดอย่างไร
ก่อนที่สายตาข้าจะมาสะดุดกับร่างดรุณีที่งดงามสองนาง ที่นั่งเคียงคู่กันและถัดจากข้าไปสองคน พี่สาวทั้งสองคนของข้าที่ข้าไม่เคยได้สนทนาสักครั้ง เพราะพระชายาต้าฉีไม่ยอมให้นางมาสนทนากับข้า
เพียงเพราะเกิดจากลูกกำนัลชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้พูดคุยแต่ข้าไม่ได้เป็นกบในกะลาที่จะไม่รู้บรรดาญาติพี่น้องตัวเอง สายสืบที่ข้าแอบวางกำลังไว้ในวังหลวงมันก็มากไม่แพ้คนอื่นๆ หรอก
การแสดงจบลงทำให้ข้าหันมาสนใจท่านอ๋องอีกครั้ง ชายผู้นี้หวังตำแหน่งสูงส่งโดยให้บุตรสาวมาเป็นสายสัมพันธ์
“ฝ่าบาทบุตรสาวข้ามีการแสดงจักถวายให้พระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของท่านอ๋องทำให้ทุกคนสนใจหันไปมอง เมื่อเสด็จพ่อทรงอนุญาต องค์หญิงเหมยฮัวก็ลุกจากที่นั่งและไม่นานองครักษ์ส่วนพระองค์ก็ยกสิ่งที่คุ้นเคยในสายตาข้า มาวางไม่ห่างจากข้ามากนัก
ทั่วทั้งกายสะท้านเหน็บหนาวกับสิ่งที่ได้เห็นแม้จะไม่เหมือนกัน แต่มันทำให้ข้าหลอนและหวาดหวั่น มันไม่ใช่เหรอที่เป็นสิ่งนำพาข้ามาที่แห่งนี้
ทว่าแหวนในมือที่เย็นเฉียบมานานกลับรู้สึกร้อนวูบวาบไปมาทำให้ข้าละความสนใจกู่เจิงตรงหน้ามามองแหวนตัวเอง
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่าน้องห้า หรือว่าเจ้าเหนื่อยแล้ว” องค์ชายสามหันมาถามน้องรักที่ดูอาการแปลกไป
“ข้าไม่เป็นไรท่านพี่”
ข้าเงยหน้าบอกพี่เฟยหยางเบาๆ ทว่าแหวนในมือยังไม่หายร้อนแม้ไม่ได้ทำอันตรายแต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เสียงเพลงของกู่เจิงหวานละมุน
ทว่ามันยังไม่ดีพอเท่าที่รู้จักมา แม้ว่าข้าจะไม่ได้จับมันนานถึง10 ปีแต่เชื่อเถอะว่าข้าแสดงได้ดีกว่าองค์หญิงเหมยฮัวด้วยซ้ำไป เสียงโน้ตสุดท้ายของพิณจบลง ข้าจึงลุกยืนทันทีโดยไม่สนใจใครนอกจากเสด็จพ่อ
“เสด็จพ่อข้าทรงเหนื่อยมาก วันนี้ข้าขอตัว”
บอกพร้อมเดินจากไปทันทีโดยมิได้กล่าวลาคนอื่นๆ โดยมีฮุ่ยเจียนกับฮุ่ยเจินเข้ามาประคองเมื่อเห็นอาการผิดปกติของข้า และนั่นทำให้ข้าไม่ต้องเป็นที่ครหาเรื่องมารยาทแต่จะเป็นที่เลื่องลือในความอ่อนแอของข้าแทน