อาหมอ

1479 Words
“ครับ แล้วไว้เจอกันนะครับ” หนึ่งในนั้นคือคุณหมอที่เอื้อมมือไปลูบหัวทุยอย่างเอ็นดู เขายิ้มรับกับสรรพนามที่ถูกเรียก ก่อนเงยหน้าขึ้นมาก้มศีรษะเป็นเชิงบอกลาคุณอาที่อยู่ในอารมณ์ประหม่าแบบบอกไม่ถูก “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ถ้าอย่างนั้นฟ้าขอตัวก่อน ไปครับเปปเปอร์” ณัฐรดารีบปรับอารมณ์กลับมาอย่างรวดเร็ว เสียงใสบอกพลางเลี่ยงตัวจูงข้อมือของหลานเดินออกไปพร้อมกัน คนฟังยิ้ม พยักหน้ารับคำง่ายๆ ก่อนเดินแยกไปอีกทาง ฟ้าใส… เธอคงชื่อฟ้าใสสินะ ช่างยิ้มแล้วโลกสดใสเหมือนกับชื่อ อีกครั้งที่นายแพทย์หนุ่มเผลอระบายยิ้ม ความคิดบางอย่างที่แวบเข้ามาในใจทำให้เขาได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง ****** “เปปเปอร์เป็นเด็กคลอดก่อนกำหนดน่ะครับ อาจมีบางระบบของร่างกายที่ต้องติดตามระวังความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ดูปกติดี” กุมารแพทย์หนุ่มเงยหน้าจากแฟ้มประวัติคนไข้ที่มีข้อมูลรายงานผลการตรวจ เสียงทุ้มอธิบายเรียบเรื่อยแต่ทว่าก็เจือแววจริงจังเป็นการเป็นงานอยู่ในที ทำให้คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ฟัง แม้คราแรกจะดูตกใจไปบ้างว่า “อาจารย์หมอ” ที่มาดูแลหลานชายแทนหมอคนเก่าที่ลาไปเรียนต่อยอดที่ต่างประเทศนั้นเป็นใคร แต่เมื่อเหตุการณ์พาให้เป็นการเป็นงานไปซะขนาดนั้น เธอจึงต้องเก็บความตกใจเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับตามคำบอกของเขา “แล้วพฤติกรรมไฮเปอร์เกินตัว แถมเอาแต่ใจตัวเองบางครั้งก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้นี้ล่ะคะ มันเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านสมองด้วยหรือเปล่า” ณัฐรดาพอตั้งสติได้ วันนี้มาเจอหมอตัวเป็นๆ ทั้งทีก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป หลานชายเธอเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด คลอดตอนยังไม่ถึงเจ็ดเดือนด้วยน้ำหนักหนึ่งจุดสองกิโลกรัม กว่าจะเลี้ยงดูกันให้เติบโตมาได้อ้วนจ้ำม่ำขนาดนี้ ต้องขอบคุณการยิ่งกว่าประคบประหงมของสมาชิกในครอบครัว แต่เพราะปมด้อยของการเป็นเด็กเกิดก่อนกำหนดและเกรงว่าร่างกายจะอ่อนแอที่ส่วนใดส่วนหนึ่งมากกว่าคนทั่วไป ทำให้ทุกคนล้วนแต่ตามใจไปกันใหญ่ แม้กระทั่งเธอที่อยู่กับหลานยังต้องวางตัวเป็นเพื่อน ไม่กล้าขัดใจเลยสักนิด “อันนี้หมอว่าสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูก็มีผลนะครับ เอาเป็นว่าหมอรับรองว่าทางด้านระบบสมองและหัวใจน้องตอนนี้ไม่มีปัญหา น้องเหมือนเด็กทั่วไป อาจหาของเล่นหรือกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กมีสมาธิมากขึ้น ส่วนเรื่องเอาแต่ใจ…” นายแพทย์หนุ่มว่าพลางโบ้ยสายตาไปที่ถุงขนมหน้าตาน่ากินร่วมสิบชนิดที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มๆ แล้วพูดเปรยออกมาในประโยคที่เธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน “ไม่ต้องตามใจเด็กมากขนาดนั้นก็ได้” เขาทิ้งระเบิดแล้วก็หันกลับไปสนใจเจ้าตัวเล็กซึ่งตอนนี้เปลี่ยนตำแหน่งขึ้นไปนั่งเล่นบนโต๊ะคุณหมอ ไม่พอยังหยิบหูฟัง อีกทั้งอุปกรณ์อะไรต่อมิอะไรที่วางอยู่บนโต๊ะมาสำรวจราวกับเป็นของเล่น “หืม ว่าไงครับเปปเปอร์ โตขึ้นเป็นหมอแบบอาหมอเอาไหม” หลังจากนั้นเธอได้ยินเด็กชายปฏิเสธเสียงแจ้ว พร้อมคำตอบว่าอยากเป็นทหารอากาศ ซึ่งนั่นเธอรู้ดีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว พิสูจน์ได้จากเครื่องบินของเล่นจำลองที่มีอยู่ที่บ้านนับสิบลำ แต่ที่แปลกใจ นี่เขายังไม่ลืมที่จะเรียกแทนตัวเองว่า “อาหมอ” อีกเหรอ แล้วดูจากที่ปล่อยให้เด็กหยิบจับเล่นอะไรต่อมิอะไรราวกับเครื่องมือแพทย์เป็นของเล่นบนโต๊ะตัวเอง ไม่อยากจะบอกเลยว่า เขาก็เป็นหมอเด็กที่ตามใจเด็กได้ไม่ต่างกับเธอนั่นล่ะ แล้วยังมาแอบว่าคนอื่นอีก คนตัวเล็กเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจ ริมฝีปากบางที่เม้มสนิทเข้าหากันจนเป็นเส้นตรงกำลังฟ้องว่าเจ้าของมันติดจะเป็นคนเอาแต่ใจนิดๆ ต่างกับภาคินัยที่แม้สายตากำลังให้ความสนใจกับเด็ก ทว่าหางตายังแอบเหลือบเห็นหน้ามุ่ยๆ ของคุณอา เห็นว่าตอนนี้คนตัวเล็กคงกำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการปรับให้เป็นปกติ ถึงจะเป็นกุมารแพทย์ มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับเด็ก แต่เขาก็เคยเรียนเรื่องจิตวิทยาอะไรเทือกๆ นี้มาบ้าง มันไม่ยากเลยที่จะพอประเมินอาการบนดวงหน้าใสของเธอได้อย่างแม่นยำ คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างปลงตกกับความคิดตัวเอง อย่างไรซะเขาก็ยังไม่อยากแกล้งเด็กอีกคนในตอนนี้ เดี๋ยวจะโดนหาว่าเป็น “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก” แล้วภาคินัยก็ต้องเอะใจระคนขำกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ นี่เขาต้องใช้ความพยายามมากขนาดนี้เชียวเหรอ ในการปรับน้ำเสียงให้ดูเป็นจริงเป็นจังพูดกับญาติคนไข้ “หมอให้วิตามินแล้วก็ยาบำรุงไปกินเหมือนเดิมนะครับ แล้วอีกอย่าง มียาแก้แพ้อีกตัว” นายแพทย์หนุ่มบอกพลางก้มหน้าลงไปเขียนบางอย่าง คราวนี้กลับเป็นคนฟังที่ขมวดคิ้วสงสัย “ยาแก้แพ้? เปปเปอร์เป็นภูมิแพ้ด้วยเหรอคะ” ณัฐรดาถามแล้วรีบสำรวจหลานชายแต่ก็ไม่เห็นมีอาการอย่างว่าเลยสักนิด คิ้วที่ผูกเป็นปมอยู่แล้วยิ่งมัดเป็นโบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นคุณหมอยังก้มหน้าก้มตาตอบกลับมาคนละทาง “แล้วคุณแพ้ยาตัวไหนหรือพวกคารามายบ้างหรือเปล่า” เขาว่าพลางเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเธอด้วยสีหน้าจริงจัง ณัฐรดาเผลอคิด นี่โรคภูมิแพ้สามารถติดต่อทางการสัมผัสใกล้ชิดได้ด้วยเหรอ… “ไม่แพ้ยาทานตัวไหน แต่แพ้ยาทาทุกชนิด” แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังบ้าจี้ตอบออกไป เห็นคุณหมอพยักหน้ารับแต่ก็ไม่พูดอะไรแล้วก้มลงไปเขียนอีก คิ้วเรียวของหญิงสาวย่นเข้าหากันอย่างอดเป็นกังวลแทนหลานชายไม่ได้ หลานชายเธอต้องเป็นโรคภูมิแพ้ตั้งแต่ยังเด็กจริงๆ ใช่ไหม “ถ้าอย่างนั้นหมอสั่งยาให้ไปทานสองตัวก่อนแล้วกัน ตัวหนึ่งทานตอนเช้าจะได้ไม่ง่วง ส่วนอีกตัวอันนี้ง่วงหน่อยไว้ทานก่อนนอน ร่างกายจะได้พักผ่อนเพียงพอ” เขาว่าพลางใช้ปากกาในมือชี้ลงบนกระดาษแผ่นพอประมาณที่จดชื่อยาเอาไว้พร้อมอธิบายก่อนส่งให้หญิงสาว ต่างจากเธอที่ฟังบ้างไม่ฟังบ้างแล้วถามคำเดิมซ้ำอีก “นี่เปปเปอร์เป็นภูมิแพ้จริงๆ เหรอคะ” น้ำเสียงดูร้อนรนกับดวงตากลมที่เบิกกว้างมองมาที่เขา ภาคินัยอมยิ้มแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ อาการตื่นตูมของคนตัวเล็กจึงค่อยๆ คลายลงเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วสงสัย คุณหมอหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ สายตามองไปยังท่อนแขนเรียวที่วางบนโต๊ะจนเจ้าของมันต้องมองตาม ผื่นเม็ดเล็กที่ขึ้นกระจัดกระจายแดงอยู่ตามท้องแขนไปทั่ว แต่ที่เป็นอยู่วันนี้ ความจริงณัฐรดาไม่คิดจะสนใจมันเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้านับกันแล้วยังน้อยกว่าที่เคยๆ เป็นมาอยู่มาก “หมอเห็นคุณไม่ชอบหาหมอ เลยให้ยาไปทานก่อนในเบื้องต้น” นายแพทย์หนุ่มอธิบายเรื่อยๆ ราวกับผู้ใหญ่ใจดี ความจริงเธอกำลังจะขอบคุณในความมีน้ำใจของเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่สะดุดกับเสียงทุ้มเรียบเรื่อยแต่ไม่รู้ทำไมกลับรู้สึกได้ว่าเหมือนเขาตั้งใจเน้นคำว่า “หมอ” จริงจัง ไม่พอยังประโยคต่อมานั้นอีก “แต่ทางที่ดีควรให้เจ้าตัวเล็กพามาตรวจให้เป็นเรื่องเป็นราว ใช่ไหมครับ” เขาว่า ก่อนละความสนใจไปหาเจ้าแก้มซาลาเปาที่ลั่นวาจาว่าไม่อยากเป็นหมอแต่ก็หยิบหูฟังของคุณหมอตัวจริงขึ้นมาเล่นไม่เลิก แต่… ให้เด็กพาผู้ใหญ่มาหาหมอ แล้วมันจะได้ยังไง!! เขากำลังบอกเธอหรือเปล่าว่าขนาดเด็กยังไม่กลัวหมอ แล้วเธอจะกลัวไปทำไมให้อายเด็ก!! นี่ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหมอตั้งแต่ตอนแรก แล้วจะต้องมาเจอกันอีกแบบนี้ เธอจะไม่มีทางบอกความลับ ให้เขาเอามาแกล้งเธอไม่เลิกเลยจริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD