“ตั้งสองปีที่ไม่ได้เจอกัน ไปดื่มกับไอนะ” ชวนพร้อมกอดประคองคู่ขาคนสวยออกไปจากความอึดอัดรอบๆ ตัว แต่ซันนี่ก็ขืนตัวเอาไว้พลางมองหาญาติสาวไปทางศูนย์กลางของกลุ่มผีเสื้อราตรีที่แดนซ์กันอย่างเมามันแต่ก็มองไม่เห็น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คือไอมากับน้องสาว เธอเมามากแล้วแดนซ์อยู่ตรงนั้นเมื่อกี้ แต่ว่าตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ไอเป็นห่วงน้องสาวคนนี้มาก” ใบหน้าของคนพูดดูมีกังวล หัวคิ้วแทบจะชนกัน
“ไม่ต้องห่วงหรอก ไปดื่มกับไอสักครึ่งชั่วโมงค่อยโทรหาก็ได้นี่”
“โทรได้ไงล่ะแกรี่ ก็กระเป๋ายัยณิชาอยู่กับไอ นี่ไง”
แกรี่ถอนหายใจ
“โอเค งั้นเดี๋ยวไอช่วยยูตามหาน้องสาวของยูอีกแรง แล้วค่อยไปดื่มกัน” จบประโยคทั้งสองก็เดินเข้าไปในฝูงชนอีกครั้ง พลางสอดส่ายสายตากวาดมองหาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่อยู่ในชุดโค้ทขนมิ้งค์สีขาวที่สวมทับชุดเดรสสีดำอยู่ข้างใน ตามหาอยู่นานหลายนาทีแต่ก็ไม่เห็น
“โอ๊ย...จะบ้าตาย หล่อนหายไปไหนเนี่ยยัยณิชาขี้เมา” ซันนี่หายใจหอบๆ พยายามมองไปรอบๆ ตัว ภายใต้แสงไฟสลัวหลากสี แต่ก็ยังไร้วี่แวว
“ทำยังไงดีแกรี่ น้องสาวของไอหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ จะถูกพวกผู้ชายพาไปปู้ยี่ปู้ยำที่ไหนหรือเปล่า โอ๊ย...เครียด!”
“ใจเย็นๆ น่าซันนี่ เราลองไปหาทางห้องน้ำหญิงกันดีไหม เผื่อน้องรักของยูอาจจะไปโก่งคออาเจียนอยู่ในนั้นก็ได้นะ”
“อืม ก็จริงด้วยนะ งั้นเรารีบไปห้องน้ำหญิงกันเถอะ เผื่อจะเจอ”
สายตาที่มองเหยื่อสาวเต็มไปด้วยตัณหาราคะ อาศัยจังหวะตอนหญิงสาวเมามาย ฉุดกระชากลากเธอออกมาจากผับจนสำเร็จ และตอนนี้ก็กำลังจะเดินไปถึงรถที่จอดรออยู่อีกฟากของถนนแล้ว เพียงแค่รอให้รถโล่งเท่านั้น
“ปล่อยฉันนะ! แกจะพาฉันไปไหนเนี่ย”
แม้จะเมา แต่ณิชานันท์ก็ยังมีสติรู้ว่าไอ้ผู้ชายตัวโตล่ำสันในชุดหนังเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นสาบตัวและกลิ่นบุหรี่กำลังจะพาเธอไปลงนรกแน่ๆ ร่างเล็กจึงออกแรงขัดขืนสุดฤทธิ์
“ปล่อยฉันนะไอ้คนเลว ฉันจะไปหาพี่ของฉัน”
“ปล่อยให้โง่น่ะสิ หยุดดิ้นได้แล้ว ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” มันขู่ทั้งน้ำเสียงและสายตา แต่คนเมาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่อยู่ในกระแสเลือดทำให้เธอกล้าที่จะต่อกรกับมันมือเปล่า
เผียะ!
ใบหน้าเหี้ยมเกรียมค่อยๆ หันมาช้าๆ นัยน์ตาของมันลุกโชนไปด้วยไฟโทสะ ก่อนจะแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว
“อยากลองดีใช่ไหม ได้!” กำปั้นใหญ่เงื้อขึ้นกลางอากาศ หมายจะต่อยเข้าไปที่ท้องน้อยของเหยื่อสาวจอมพยศให้หงอ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อแขนของมันถูกมือแข็งแรงดุจคีมเหล็กกำแน่นจนเจ็บ
“ปล่อยเธอ ถ้าไม่อยากให้กระดูกของแกแหลกเป็นผุยผง” เสียงสั่งเยือกเย็นชวนให้ขนลุก รัศมีอำมหิตเหมือนแผ่รังสีมาจากเจ้าของเสียงทุ้มลึกที่ก้องกังวานไปในห้วงอากาศยามราตรี
ร่างบางซวนเซเสียหลักเมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระ เมื่อหันมาอีกทีก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักลอยอยู่ตรงหน้า เขาสวมชุดหนังดำมันเป็นมันเลื่อมทั้งชุด ร่างใหญ่โตกำลังอยู่ในท่าย่อตัวลงช้อนร่างของเธอขึ้นมาสู่อ้อมแขนแข็งแรงอย่างง่ายดาย โดยที่เธอยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เพราะอวัยวะทุกส่วนของร่างกายคล้ายจะเป็นอัมพาตไปเสียหมด ยกเว้นดวงตาสีนิลที่กำลังไหวระริกมองดวงหน้าขาวซีดและริมฝีปากสีสดของเขา
แล้วเมื่อเลื่อนสายตาขึ้นสูงอีกนิด ก็สบประสานเข้ากับดวงตาคมกล้าที่สีของมันยามนี้ไม่ต่างจากสีของท้องฟ้ายามราตรี เธอเผลอมองเขานิ่งดั่งถูกมนต์สะกด
เขาคงมาช่วยเธอ ว่าแต่เขาเป็นใคร แล้วจะไว้ใจได้หรือเปล่า
ทว่ากิริยาของเขาช่างนุ่มนวลนัก เป็นสุภาพบุรุษที่เต็มไปด้วยเสน่ห์มากมายเหลือเกิน หัวใจของหญิงสาวรู้สึกอบอุ่นแม้ยังไม่สร่างเมา พยายามเพ่งมองใบหน้าที่ก้มมองเธอให้ชัดๆ เพราะรู้สึกเบลอๆ จนต้องกะพริบตาปิบๆ เพื่อปรับความคมชัดหลายครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณหล่ออบอุ่นจัง ขอบคุณมากนะคะที่มาช่วยฉัน” ตอบพลางพยายามกอดลำคอแข็งแรงเอาไว้มั่นเพราะกลัวตก
“มันเป็นหน้าที่ของผม”
“หน้าที่?” เธอเลิกคิ้วสงสัย
“ครับ มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องดูแลลูกค้าของผมทุกคนที่มาใช้บริการเดวิลคลับ”
“คุณเป็นเจ้าของผับนี้เหรอคะ”
“เปล่าครับ ผมเป็นเพียงแค่คนดูแล”
หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ ดวงตาเริ่มปรือ เมื่อรู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อถูกอุ้มอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษหนุ่มรูปหล่อ เธอยิ้มตาหวานเยิ้ม เคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มกระจ่างแสนเสน่ห์ของเขา ทั้งที่เป็นผู้ชายแปลกหน้า แต่เธอกลับไว้ใจเขา
“ท่าทางคุณจะเมามาก ผมจะพากลับที่พักนะครับ ว่าแต่ที่พักของคุณอยู่ที่ไหน”
“ที่พักของฉันอยู่ใกล้ๆ กับคฤหาสน์...อะไรน้า...แสงจันทร์หรือเปล่าฮ่าๆ ฉันก็จำม่ายด้ายแล้วสิ เอิ้ก”
“คฤหาสน์จันทราใช่ไหมครับ”
“ช่ายๆ น่านแหละ คฤหาสน์จันทรา”
“ถ้าอย่างนั้น ให้ผมขับรถไปส่งคุณนะครับ พอใกล้ที่พักของคุณ คุณก็บอกผมแล้วกันว่าคุณพักอยู่ตรงไหน”
“โอเคค่ะ ด้ายเลย”
ณิชานันท์ถูกชายหนุ่มที่อ้างว่าเขาเป็นคนดูแลเดวิลคลับอุ้มไปขึ้นรถสปอร์ตสีดำมันปลาบแล้วแล่นออกไปจากผับหรูอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักรถสปอร์ตสีดำแล่นมาจนถึงหน้าคฤหาสน์จันทรา คนขับก็จอดรถอย่างนุ่มนวลก่อนจะหันมามองคนข้างๆ ซึ่งตอนนี้หลับปุ๋ยคอพับกับพนักพิงไปเรียบร้อยแล้ว