เรือนใหญ่ ตระกูลเสิ่น
เสิ่นซูอิงนั่งเคียงข้างเสิ่นฮูหยินฟังอี้เหมยรายงานเรื่องวันนี้ ด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
“อืม วันนี้พวกเจ้าทำได้ดีมาก” จากนั้นลัวมามาก็หยิบถุงเงินส่งให้อี้เหมย หญิงสาวรับมาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
“ขอบพระคุณฮูหยินเจ้าค่ะ”
“หากมีเรื่องอันใดก็รีบมาแจ้งข้า เรื่องในเรือนนั้นเพียงเล็กน้อยก็ต้องรายงานทั้งหมด”
สีหน้าของอี้เหมยคล้ายมีเรื่องบางอย่าง สวีเหยียนจึงถามขึ้น
“มีเรื่องอันใด”
“ก่อนที่บ่าวจะออกมา พ่อบ้านได้นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกหิมะหายากตัวหนึ่งมามอบให้แม่นางกู้ เห็นว่าเป็นของที่ท่านโหวเป็นคนสั่งการกำชับเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
“เสื้อคลุมจิ้งจอก ?”
“เจ้าค่ะ..สิ่งของอื่น ๆ ที่ได้รับในวันนี้ ใบหน้าแม่นางกู้ล้วนเต็มไปด้วยยินดี ทว่ามีเพียงเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนี้ ที่นางมองด้วยสายตาเศร้าสร้อย บ่าวยังแอบเห็นนางยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากด้วยเจ้าค่ะ”
เสิ่นซูอิงคิ้วขมวด
“ท่านแม่ เรื่องเช่นนี้ก็ต้องให้บ่าวมันรายงานด้วยหรือเจ้าค่ะ ข้ามองว่าดูพวกเราจะใส่ใจนางมากไปเสียหน่อย”
ในสายตาเสิ่นซูอิง กู้เฉียวจิงก็เป็นเพียงสตรีที่ไม่มีฐานะอันใด แม้นางจะคลอดบุตรชายก็หาใช่จะต้องเอาอกเอาใจเช่นนี้
สวีเหยียนโบกมือให้อี้เหมยกลับไป แล้วหันมาบุตรสาว แววตาแฝงตำหนิอยู่จาง ๆ
“อิงเอ๋อร์ วาจาเช่นนี้อย่าให้พี่ชายได้ยินเชียว”
สีหน้าของเสิ่นซูอิงเต็มไปด้วยความประท้วง
“เหตุใดเล่าท่านแม่ ข้ามิได้พูดผิด ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงให้ความสำคัญกับบ่าวอุ่นเตียงหรืออนุหรอกนะเจ้าคะ”
สวีเหยียนส่ายหน้าเบา ๆ
“นางมิใช่บ่าวอุ่นเตียง นางเป็นภรรยาผูกผมกับพี่ชายเจ้าอีกทั้งยังเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิต อิงเอ๋อร์...แม้กระทั่งเกาเหยาชุนยังกระจ่างใจเรื่องนี้มากกว่าเจ้าเสียอีก นางจึงยินยอมจะแต่งเข้าเป็นฮูหยินรอง”
ใบหน้าเสิ่นซูอิงเต็มไปได้ความตกตะลึง
“พี่เหยาชุนยินยอมเองหรือเจ้าคะ”
สวีเหยียนยกจอกชาขึ้นดื่ม เพื่อให้จิตใจได้ผ่อนคลาย แล้วก็พยักหน้าเบา ๆ
“แม้จะเป็นการตบแต่งฮูหยินรอง แต่หากว่าแม่นางกู้ผู้นั้น ไม่ยินยอมหรือตัดพ้อเพียงเล็กน้อย แม่เกรงว่าการแต่งงานในครั้งนี้ พี่ชายเจ้าอาจจะปฏิเสธ”
เสิ่นซูอิงพลันกระจ่างใจ พี่ชายเป็นผู้ที่ยึดหมั่นในคุณธรรมอย่างยิ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีทางที่พี่ชายจะทำให้แม่นางกู้ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด แต่หากต้องรอไปก่อนสักระยะ ทางตระกูลเกากลับไม่อาจจะรั้งเวลาได้มากไปกว่านี้ ในเมื่อคนมาแล้วก็ควรจะจัดงานแต่งได้เสียที เรื่องราวทั้งหมดจะเรียบง่ายหากแม่นางกู้มิต่อต้านอันใด หญิงสาวพลันกระจ่างใจมารดามิได้เอาใจ ทว่ากำลังเจรจาอยู่ นางจึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ท่านแม่..ข้าโง่เขลายิ่งนัก”
สวีเหยียนยิ้มมุมปากบาง ๆ อย่างอ่อนโยน
“วันนี้ แม่ได้จัดเรือนหลังใหม่ให้กู้ซวินแล้ว หากนางมิโวยวายย่อมแสดงว่า นางรู้จักหนักเบายินยอมทำตามที่ตระกูลเสิ่นจัดการ”
เพราะเรื่องบุตรนับได้ว่าเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจผู้เป็นมารดาที่สุด หากท่าทีของกู้เฉียวจิงไปตัดพ้อกับเสิ่นเยี่ยหง ก็ยังให้เหตุผลได้ ในเมื่อเริ่มเรียน ก็ควรอยู่ใกล้กับเรือนของอาจารย์ นับได้ว่านางจัดการล้วนเป็นเรื่องเหมาะสม
แววตาของเสิ่นซูอิงประกายวาวขึ้นมา
“ท่านแม่ เช่นนั้น..ข้าไปพูดคุยกับนางดู ดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
สวีเหยียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเจ้าเข้าใจเรื่องราวแล้ว แม่ก็ต้องฝากเจ้าด้วย อย่าลืมว่า..เราไม่ต้องการให้นางออกจากตระกูลเสิ่น นางต้องอยู่ที่นี่เป็นมารดาที่ดีของกู้ซวินและเป็นฮูหยินเอกของเสิ่นเยี่ยหงต่อไป” ส่วนอำนาจที่แท้จริงค่อยจัดการกันทีหลัง
ในขณะเดียวกัน กู้เฉียวจิงก็กำลังก้าวเท้าเข้าไปในเรือนของบุตรชาย นางชำเลืองปรายตามองดูรอบ ๆ นับว่าเป็นเรือนหลังใหญ่หลังหนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของตระกูลใหญ่แฝงอยู่ ตกแต่งค่อนข้างเรียบง่ายทว่าก็เต็มไปด้วยของชั้นเลิศ
ทันทีที่ก้าวเข้ามาก็ได้ยินเสียงของบุตรชาย
“ท่านแม่” นางหันหน้าไปตามเสียงเรียก ปรากฏเด็กชายสวมชุดผ้าแพรชั้นดีใบหน้าหมดจดดวงตาใสกระจ่าง ภาพตรงหน้าทำให้เบ้าตาของนางร้อนผ่าวขึ้นมา
“ซวิน วันนี้ได้เล่าเรียนแล้วหรือยัง”
“ยังเลยขอรับ” เด็กชายชำเลืองมองดูบ่าวที่ตามหลังมารดา กู้เฉียวจิงจึงพูดขึ้น
“พวกเจ้าออกไปก่อน” เมื่อคนออกไปแล้ว กู้ซวินก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านแม่...ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” กู้เฉียวจิงลูบแขนบุตรชายเบา ๆ เด็กตัวเท่านี้เหตุใดถึงได้ละเอียดลออเช่นนี้ได้นะ
“ดีสิ ดีมาก เจ้าไม่เห็นหรือ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้แม่ร้อนใจแม้แต่น้อย แม่มีชุดผ้าแพรใหม่ มีบ่าวไพร่รับใช้ข้างกาย วันนี้แม่ยังได้ซื้อชุดเครื่องเขียนราคาแพงมากให้เจ้าด้วยนะ..แม่ชอบที่นี่มาก”
กู้ซวินจ้องมองไปในดวงตาของมารดาเพื่อหาความลับที่ซ่อนอยู่ ดวงตาของมารดายังเต็มไปด้วยความสดใสไร้ทุกข์ เขาจึงถอนหายใจโล่งอก
“ข้าเองก็ชอบที่นี่...เพราะมีท่านแม่กับท่านพ่ออยู่ด้วยกัน” จากนั้นเด็กชายก็จับแขนมารดาแน่นแล้วพูด
“แต่หากว่าท่านแม่ไม่ชอบที่นี่ พวกเรากลับหมู่บ้านอี้หลางด้วยกันนะขอรับ”
กู้เฉียวจิงยิ้มอย่างอ่อนโยนตอบ “ได้สิ แม่จะพาเจ้ากลับบ้านเราเอง”