“อัญชลี…”
“วันทา…“
“อภิวาท...”
“กราบบบบบ”
นี่คือภารกิจแรกของฉันหลังจากถูกยัดเข้าชมรมเรื่องเศร้าเคล้าธรรมะบ้าบอนั่นของเซฟ ฉันต้องแบกร่างมาที่ตึกแปดแต่เช้าเพื่อที่จะนำสวดมนต์!
ย้ำ นำ-สวด-มนต์!!
เขาให้คนไร้ศาสนาอย่างฉันนำสวดมนต์อ่ะ บ้าไปแล้ว โลกต้องแตกแน่ๆ แต่ฉันปฏิเสธไม่ได้ทุกทีที่หันไปเห็นสายตาหวานๆ ปนอ้อนวอนของเขา ฉันรู้สึกตัวเองกำลังจะแหลกละเอียดเป็นเม็ดผง พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าสมาชิกกว่าสามสิบคนได้
ทุกคนต่างง่วงเหงาหาวนอน สังเกตได้จากการก้มกราบแต่ละที กราบนานมากกกกกก จนฉันนึกว่าหลับไปแล้ว เซฟยืนถือสมุดเช็คชื่อสมาชิกแล้วพยักหน้าให้กำลังใจฉันเป็นระยะ
“ไอ้เชี่ยเซฟ” ผู้ชายหน้าตาน่ารักติดจะสวยสบถอุบขณะที่พนมมือพร้อมกับนัยน์ตาละห้อย ฉันขยับตัวถอยหลังไปนั่งข้างๆ เขาเพื่อให้เซฟมานำแผ่เมตตา ท่าทางหมอนี่จะรู้จักเซฟด้วยแหละ เพราะฉันเห็นเขาทำตาขวางใส่เซฟอ่ะ
“เอาล่ะ ทุกคนหลับตานะครับ พี่จะนำแผ่เมตตาแล้วน้า~” น้ำเสียงกระฉับกระเฉงผิดกับฉันและเอวี่บอดี้ที่นั่งทำหน้าเหมือนผีไม่มีศาลแบบสุดๆ ฉันแค่นหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะเผลอปรายสายตาไปมองไอ้คนข้างๆ
เราสบตากันอยู่ครู่นึง มันอาจจะไม่นาน แต่ก็นานพอที่จะสื่อสารผ่านโทรจิต แค่แวบเดียวฉันก็รู้เลยว่าสาเหตุที่เขามาที่นี่มันคงไม่ได้ต่างจากฉันสักเท่าไหร่หรอก
“ทุกคนเอามือขวาทับมือซ้ายแล้วนั่งขัดสมาธินะครับ~” เขาว่าก่อนจะปฏิบัติให้ดูทีละขั้นเหมือนกำลังสอนเด็กอนุบาล ฉันถอนหายใจยาวนึกไปถึงคำพูดของอัศวินที่บอกว่า อีตานี่ทำผู้หญิงท้องตั้งแต่มอสาม…
คนแบบนี้นี่นะ… จะทำผู้หญิงท้อง! ฉันยังนึกแปลกใจว่าทำไมเขายังไม่ไปบวช =_=^
“สัพเพ สัพตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” เซฟว่าพลางยืดอกทะมัดทะแมง ใบหน้าของเขาดูสดชื่นและเปรมปรีดาสุดๆ ส่วนฉันน่ะเหรอ…
เฮอะ อีกนิดนึงอ่ะ… อีกนิดนึงจะแดกหัวคนได้ละ =_=
ฉันขมวดคิ้วจนเกือบจะผูกติดกันเป็นโบว์ สายตาสอดส่ายไปมาเพราะไม่มีสมาธิมาแผ่เมตตาบ้าๆ นี่ และเพราะฉันกวาดสายตาไปทั่ว เลยไปสบกันพอดีกับพ่อหนุ่มหน้าสวยข้างๆ ที่นั่งเขี่ยพื้นถอนหายใจดังเฮือก
คนนี้ก็อีกนิดเหมือนกัน… อีกนิดนึงคงลาตาย =_=
เขายิ้มแหยก่อนจะพยักหน้าให้ฉันหนึ่งที เป็นเชิงว่า เนี่ยแหละ ใช่เลย พวกเราเป็นเพื่อนทุกข์ของแท้เลย โคตรจะไม่มีความสุข นั่งจนเหน็บแดกก้นจนลามไปถึงขา ชายันนิ้วแม่โป้งเท้า แต่เราก็ต้องทนฟังเสียงเซฟ…
“อะเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย~”
…สดใสร่าเริง แถมบันเทิงอยู่คนเดียว =_=^
เวรของฉันจริงๆ ที่ต้องมาอยู่ที่นี่เนี่ย ผู้ชายมีหลายร้อย หลายล้าน มหาศาลบานตะไท แต่ทำไม๊ ทำไมฉันต้องมาหลงเสน่ห์อีตานี่ด้วยวะ ฮือๆๆๆๆ ร้องไห้แม่ง งอนโลก
“อัพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย~”
เขายังคงน้ำเสียงระรื่นประหนึ่งมีความสุขที่สุดในสามโลกนั่นเอาไว้ ในขณะที่ฉันถอนหายใจรอบที่ร้อย หาวรอบที่ล้าน สาบานได้เลยว่าถ้าเซฟออกจากชมรมนี้เมื่อไหร่ ฉันจะเผาที่นี่ทิ้ง!
“เฮ้อ” เสียงถอนหายใจของคนหน้าสวยทำให้ฉันหันไปมอง เขาเบ้ปากเหนื่อยหน่ายทำท่าใกล้ตายขึ้นทุกวินาที
ฉันมองเขา
เขามองฉัน
เรามองกันและกัน พลันความรู้สึกก็แล่นผ่านเส้นใยประสาทผ่านชั้นบรรยากาศไปยังอีกคน นัยน์ตาละเหี่ยใจสองคู่จ้องอยู่ครู่นึงก่อนที่พวกเราจะถอนหายใจออกมาพร้อมๆ กันอีกครั้ง
“เฮ้อออออ”
ไม่นาน ทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้นผ่านไปอีกหนึ่งวันอันโหดร้าย ให้ตาย ฉันจินตนาการตัวเองต้องมานั่งไหว้พระ แผ่เมตตาทุกเช้าไม่ไหวจริงๆ เพื่อนร่วมชะตากรรมคนใหม่เลยปัดปอยผมหน้าม้าไหวๆ แล้วสะกิดไหล่ทักทายฉัน
“เธอๆ มาเข้าชมรมนี้นี่ไอ้เซฟชวนมาเหรอ?” เขาเริ่มถามฉันเมื่อทุกคนกำลังลุกขึ้นไปเช็คชื่อ ฉันพยักหน้ารับ ความจริงเขาก็น่ารักไม่เบา ถ้าไม่ติดว่าหัวใจฉันมีแค่สี่ห้องและทุกห้องเป็นของเซฟล่ะก็นะ ฉันจะอ่อยหมอนี่อีกคน
เอ๊ะ หรือจะอ่อยด้วยดี เผื่ออกหักจากเซฟไรงี้ ได้ไม่หน้าแตก =.,=
“ใช่ๆ”
“ว่าละไง ผมชื่อเครย์นะ เป็นเพื่อนมัน” เขาเอ่ยก่อนจะชี้ไปทางคนถูกพูดถึง เซฟกำลังยืนจับปากกาติ๊กรายชื่อคนเข้าร่วมทีละคน “แล้วเธอ…?”
“เราชื่อหลิน เรียนวิศวะโยธา คณะตรงข้ามเซฟอ่ะ” ฉันแนะนำตัวแล้วยกยิ้มอย่างเป็นมิตร ฉันเป็นมิตรกับทุกคนแหละ โดยเฉพาะคนหน้าตาดี อิอิ
“อ๋อ ไม่น่าหลงผิดมาเข้าชมรมมันเลยเนอะ โคตรน่าเบื่อ” เขาเริ่มเข้าประเด็นก่อนจะบ่นยาวเหยียดในขณะที่ฉันพยักหน้ารับรัวๆ เห็นด้วยสุดๆ
“โอ๊ย ถ้านั่งนานกว่านี้ เราคงจะตรัสรู้ไปแล้วอ่ะ” ฉันเสริมพร้อมกับตบเข่าตัวเองดังป๊าป!
ใช่เลยนาย! น่าเบื่อกว่านี้ก็ไม่มีแล้วแหละ!
“ทำไมผมต้องตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาทำอะไรไร้สาระด้วยก็ไม่รู้เนอะ”
“เออ ง่วงก็ง่วง นี่ถ้าไม่ติดว่าอยากมีผัว เราคงโกนหัวออกบวชเพราะเข้าชมรมนี้แน่ๆ” ฉันบ่นบ้างก่อนจะหาวหวอดๆ เพราะนอนไม่พอ ไหนจะช่วยงานพ่อที่บ้าน ทำรายงานจนเกือบเช้า ยังต้องมาทำกิจกรรมบ้าบออะไรนี่อีก จะไม่มาก็ไม่ได้ กลัวเซฟโกรธ
“ไอ้คนตั้งชมรม มันคิดอะไรของมันอยู่วะ ถ้าคนเขาจะอยากทำบุญเขาก็ทำเองแหละ”
“เออ เราเกลียดฉิบหาย ไอ้เรื่องอะไรแบบนี้อ่ะ คนเราจะดี มันก็ดีด้วยใจ ไม่ใช่มานั่งสวดมนต์แล้วอวดตนว่าเป็นคนดี เราว่ามันไม่ใช่อ่ะนาย”
“โอ้โห เธอนี่พูดถูกใจผมนะ เอาเป็นว่าเราเป็นเพื่อนกัน โอเคมะ” เขาหัวเราะตาใสก่อนจะยื่นมือมาให้ฉันข้างนึงยืนยันการตกลง
“โอเค สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” ฉันล้อเลียนก่อนจะหัวเราะก๊ากกับเครย์สองคน รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนร่วมชะตากรรมอันโหดร้าย
แต่ในขณะที่เรากำลังนั่งเม้าส์มอยว่าไอ้ชมรมบ้าบอนี่น่าเบื่อขนาดไหน แล้วจะหาทางลาออกจากการเป็นสมาชิกยังไง ร่างสูงเจ้าของดวงหน้าหวานก็ขยับเท้าเข้ามาหาพวกฉันก่อน
“หลิน เราเช็คชื่อเสร็จแล้ว เดี๋ยวก่อนแยกย้ายไปเดินเอกสารเป็นเพื่อนเราแป๊ปนึงนะ” เซฟพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ทำให้ฉันใจอ่อนทุกที แต่ไม่!
วันนรกแบบนี้ขอแค่ทีเดียวก็พอ ฉันจะออก!
จะออกกกกกก!
ฉันมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่างเครย์แล้วด้วย! ฉันมั่นใจมากว่าเราจะออกได้ เซฟอาจจะงอนๆ ฉันแป๊ปนึง แต่ฉันว่าฉันไม่ไหวอ่ะ ให้ฉันตายซะดีกว่ามานั่งสวดมนต์ แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นอ่ะ
“เออ เซฟ คือว่าเรากับเครย์พึ่งคุยกันเมื่อกี้” ฉันเริ่มต้นประโยคก่อนจะพยักเพยิดให้เครย์ช่วยพูดต่อ โกหกว่าธุระทุกเช้า หรือไม่ว่าง ไม่อยากทำให้ชมรมเสียหายอะไรก็ได้ที่มันดูดี หากแต่ก่อนที่พวกเราจะขอลาออก เซฟก็ดันขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
“เอ้อ ลืมไป เรามีข่าวดีจะบอกหลิน”
“ข่าวดี?”
“พอดีว่ากลุ่มนิสิตเรื่องเล่าเคล้าธรรมะกำลังจะเปลี่ยนเป็นชมรมไง เราต้องเตรียมเอกสารขอเบิกงบ ยังไงถ้าวันนี้หลินว่างเราว่าจะให้หลิน…”
“ว่าง!!!” ฉันประกาศกร้าว
“เดี๋ยวๆ เธอจะไม่คิดสักวินาทีหน่อยเหรอ?” สหายที่รู้จักกันเมื่อกี้เอียงคอมองหน้าฉัน แน่นอนว่าไม่คิดอ่ะ ฉันว่างเสมอเพื่อเจอเซฟ อิอิ
“แล้วมันข่าวดียังไงเหรอ?” ฉันถามแล้วเลิกคิ้วสงสัย มีงานให้ฉันทำนี่ข่าวดียังไงวะ?
“ก็มาช่วยกันทำที่บ้านเราไง”
O_O! ที่ – บ้าน!!!!
“แล้วเมื่อกี้หลินจะบอกอะไรเราเหรอ?” เซฟวกกลับไปยังเรื่องที่ฉันกับเครย์จะหาข้ออ้างเพื่อลาออกจากชมรม ตอนแรกฉันก็อยากจะออกจนแทบแดดิ้นแต่พอมาคิดๆ ดูฉันจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไปได้ยังไง…
“ไม่มี! เราไม่ได้จะบอกอะไรนี่”
“เฮ้ย เธอ เดี๋ยวสิ แล้วที่ตกลงกับผมเมื่อกี้…” เครย์ขัดขึ้นมาแต่ว่าฉันไม่สนหรอก ฉันไม่ออกซะอย่าง นายออกไปคนเดียวสิ!
“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าหลินกับเครย์จะอะไรอ่ะ?”
“อ๋อ… คือว่า” ฉันอึกอักกลอกตาไปทางซ้ายหมุนกลับมาทางขวาคิดหาทางออก เครย์ยิ้มกว้างเพราะนึกว่าฉันจะหาข้ออ้างขอลาออก แต่ไม่เลย…
“ฉันกับเครย์รู้สึกอิ่มเอมกับการทำบุญวันนี้มากเลยยยยยย~”
“เฮ้ยยยย!!” อีตาเครย์ร้องเสียงหลงทำท่าจะขัดขวางฉัน แต่ฉันวิ่งเข้าไปเกาะแขนเซฟและพาเขาเดินหนีไปอีกทาง เรื่องลาออกเอาไว้ทีหลัง ฉันจะไม่พลาดโอกาสเข้าไปในบ้านเซฟหรอกย่ะ ฮ่าๆๆๆ
“ว่าแต่ว่าเซฟ ก่อนไปบ้านเซฟช่วยแวะไปบ้านเราแป๊ปนึงได้ปะ?” ฉันว่าแล้วกะพริบตาขอร้องเขาปริบๆ เซฟพยักหน้ารับง่ายๆ ตามคาดก่อนจะถามกลับ
“กลับไปทำไมเหรอ?”
“เปล่าหรอก แค่ลืมของนิดหน่อย” ฉันยิ้มอย่างมีเลศนัย เรื่องอะไรจะบอกให้เขารู้ว่าฉันกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนชุดชั้นในเป็นลายเสือดาวล่ะ วะฮะฮ่า!
หรือจะเอาเรียบๆ ดีวะ ฉันไม่ได้เยอะนะ แค่ต้องเตรียมพร้อมเผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน!
เซฟหยุดเท้าก่อนจะปรายหางตามามองหน้าฉันนิ่งๆ
“เอ้อ วันนี้แม่เราไม่อยู่บ้านนะ… ถ้าอยู่กับเราแค่สองคน หลินโอเครึเปล่า?”