ตอนที่ 5 หมาเนรคุณ

1580 Words
ในพื้นที่ตอนกลางของแผ่นดินใหญ่ แคว้นเจียงตั้งชื่อตามตระกูลแรกที่เข้ามาตั้งรกรากยังดินแดนขุนเขาแห่งนี้ พื้นที่ทั้งหมดวางตัวขนาบแม่น้ำสายใหญ่อันคดเคี้ยวซึ่งไหลเชื่อมไปถึงท้องทะเลทางใต้ นานวันเข้าเมื่อกระแสน้ำกัดเซาะฝั่งหนึ่งไปเรื่อยๆ บริเวณที่ถูกทับถมหินดินทรายก็พลันเปลี่ยนเส้นทางน้ำไหลให้กลายเป็นทะเลสาบอันงดงามท่ามกลางทิวเขา ‘ทะเลสาบหมิงจิ่ง’ หรือทะเลสาบกระจกใสนามซึ่งได้มาจากความงดงามของยอดเขาน้อยใหญ่ที่เรียงรายรอบด้านสะท้อนอยู่บนแผ่นน้ำใสสะอาด แต่ละยอดเขาล้วนมีผู้ปกปักส่วนมากเป็นสำนักที่ใช้ฝึกปรือวิชาความรู้ทั้งสายบู๊และสายบุ๋น สำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ (ทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ดุจดั่งกระแสน้ำที่สงบนิ่ง) เป็นสำนักสายบู๊ตั้งขึ้นโดยตระกูลสือที่ปักหลักบนแคว้นเจียงมาเนิ่นนาน พวกเขาสละตำแหน่งของขุนนางใหญ่และหันเข้ามาสร้างสำนักคุณธรรมเพื่อฝึกฝนผู้คนจนสร้างยอดฝีมือสำหรับเป็นกำลังหลักของแคว้น ป้ายสำนักสลักชื่อบนหินผาหน้าประตูทางเข้าตั้งตระหง่านมามากกว่าร้อยปีโดยไม่มีผู้ใดชิงมันไปได้ แสดงถึงความแข็งแกร่งของเหล่าลูกศิษย์ภายใต้การนำของตระกูลสือที่สืบทอดกันมาไม่ขาดสาย ยามนี้สำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ได้รับการดูแลโดยสือเมิ่งฉินแม้เคยโดดเด่นในฐานะเจ้าสำนักหนุ่มผู้มากไปด้วยความสามารถแต่บุตรชายของเขากลับโดดเด่นยิ่งกว่า สือเฟิงเหมียน วัยเพียงหกหนาวก็สามารถจับกระบี่และเรียนรู้ศาสตร์ของการฝึกตนได้เร็วกว่าใครในประวัติศาสตร์ ก่อนจะแตกฉานเป็นอาจารย์ของสำนักด้วยวัยเพียง 14 หนาวและนับวันความสามารถของเขาก็ยิ่งเบ่งบานเกินผู้ใดจะจินตนาการ ยังไม่รวมถึงใบหน้าหล่อเหลาหาตัวจับยากและการวางตัวสุขุมยิ่งกว่าเอกบุรุษที่ตำราเคยว่าไว้ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขากลายเป็นชายผู้ได้รับความเคารพมากที่สุดคนหนึ่งของสำนักแม้ยามนี้จะมีวัยเพียงแค่ 24 หนาวก็ตาม อีกด้านของทะเลสาบหมิงจิ่งที่จะไม่กล่าวถึงก็คงมิได้นั่นก็คือ สำนักเวยอี้ (เปี่ยมล้นไปด้วยอำนาจอันน่าเกรงขาม) นำโดยจางหย่งฟู่ เจ้าสำนักหนุ่มอดีตศิษย์ฝีมือดีของเถียนเจี๋ยไฉ่ซึ่งถอนตัวจากสำนัก ละทิ้งคำสาบานภักดีที่เคยมีออกมาตั้งตนเป็นศัตรูชิงผลงานและคอยขัดแข้งขาของสือเมิ่งฉินอาจารย์ที่ตนเองเคารพ จางหย่งฟู่เริ่มตั้งสำนักตั้งแต่วัย 15 หนาว บัดนี้ผ่านมาเพียง 5 ปี สำนักเกิดใหม่ท่ามกลางสำนักใหญ่ที่ลงเสาเอกมากว่าร้อยปีดูจากมุมไหนก็ไม่เห็นทางลืมตาอ้าปากได้ แต่นั่นมิใช่กับสำนักเวยอี้ แม้จะเพิ่งก่อตั้งแต่กลับได้รับความไว้วางใจจนได้รับงานใหญ่จากฮ่องเต้อยู่หลายครั้ง ในฐานะเจ้าสำนักแม้ดูสูงส่งแต่คุณค่าของเขาที่ถูกตัดสินจากสายตาของคนนอกไม่ได้เป็นเช่นนั้น ลับหลังศิษย์เถียนเจี๋ยไฉ่เรียกจางหย่งฟู่อย่างดูแคลนว่าเป็น ‘หมาเนรคุณ’ เพราะหักหลังเจ้าสำนักที่เก็บเขามาเลี้ยงไปตั้งตนแสวงอำนาจอย่างหน้าไม่อาย คำดูถูกพวกนั้นก็ทำได้แค่นินทาหากกล่าวต่อหน้ามีหวังคงกลายเป็นคำสั่งเสียเพราะเหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ จางหย่งฟู่เชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิดจนครั้งหนึ่งผู้อาวุโสที่เคยสอนสั่งให้คำนิยามว่าเขาคือเทพศาสตราแห่งแคว้นและตลอดเวลาห้าปีที่เขาเข้าร่วมการประลองฝีมือกับเหล่าตัวแทนสำนักโดยรอบก็ได้รับชัยชนะอย่างขาดลอย ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์อย่างสือเฟิงเหมียนกับลูกศิษย์เช่นจางหย่งฟู่เต็มไปด้วยความตึงเครียดตั้งแต่ยังอยู่ชายคาเดียวกันจนมาเป็นคนต่างสำนัก พวกเขาบาดหมางกันด้วยเรื่องใดไม่มีใครทราบแต่จางหย่งฟู่ก็เป็นคนเดียวที่สือเฟิงเหมียนไม่เคยออมมือให้ สำนักเถียนเจี๋ยไฉ่ ตู้ม!!!! เสียงระเบิดของดินปืนดังขึ้นท่ามกลางควันไฟที่ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ ต้นกำเนิดมาจากหอคัมภีร์ที่รวบรวมตำราหายากจากทั่วสารทิศซึ่งยามนี้กำลังถูกเปลวเพลิงร้อนแผดเผา ความเสียหายที่เกิดขึ้นร้ายแรงจนมิอาจประเมินค่าได้ ด้านหน้ามีร่างสูงของชายหนุ่มในชุดสีดำปักลวดลายสีเงินยืนโดดเด่นท่ามกลางฉากหลังสีสว่างจากประกายไฟ บนศีรษะสวมกวานประดับอัญมณีแสดงถึงฐานะไม่ธรรมดา ใต้ฝ่าเท้ามีร่างชายสองคนนอนเจ็บหนัก “ดับไฟก่อนไม่ดีกว่ารึไง มิใช่ว่าในนั้นมีสมบัติทางปัญญาของแคว้นอยู่งั้นรึ” ชายหนุ่มชี้กระบี่ไปยังหอคัมภีร์ฝั่งตรงข้ามอันเต็มไปด้วยเหล่าลูกศิษย์ผู้ฝึกวิชาซึ่งชี้อาวุธมาหมายเอาชีวิตตน “เจ้าเป็นคนเผาดังนั้นเงียบไปเลย!” ศิษย์ในสำนักตะโกนกลับอย่างมีโทสะ “ข้าเหรอ? เปลวไฟนั้นเกิดจากพวกเจ้าไร้ฝีมือจนโจมตีพลาดไปโดนด้านหลังต่างหาก ต้องให้ข้าชี้ตัวให้รึไม่ว่าเป็นฝีมือใคร” จางหย่งฟู่ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเวลาห้าปีที่เขาออกจากสำนักไปศิษย์ของเถียนเจี๋ยไฉ่ฝีมือจะด้อยลงไปมาก “ไอ้หมาเนรคุณ หักหลังสำนักไม่พอยังมาทำเรื่องชั่วช้าไม่สนหน้าใครอีก เคยสำนึกบุญคุณข้าวที่กินเข้าไปบ้างหรือไม่!!!” กลุ่มลูกศิษย์ที่พยายามสกัดไม่ให้จางหย่งฟู่ออกจากสำนักไปได้เนื่องจากเห็นว่าเขามาเพียงลำพัง “เรียกข้าว่าหมา แต่ดูเหมือนเจ้าจะเห่าเก่งไม่แพ้กันเลย เสนอหน้าออกมาสิจะซ่อนตัวท่ามกลางฝูงชนทำไม” เจ้าของอาภรณ์สีทมิฬกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แต่ก็ไม่มีใครแสดงตัวออกมาสักคน “ถอยไปถ้าไม่อยากตาย” จางหย่งฟู่ควงกระบี่ในมือไปมาอย่างเบื่อหน่ายหลังจากที่ล้มอาจารย์ทั้งสองของหอทิศเหนือและทิศใต้ไปได้โดยที่เหงื่อยังไม่ทันออก แต่กระนั้นผู้ฝึกวิชาโดยรอบก็ยังล้อมเขาไว้ ‘ดื้อด้านชะมัด!’ “ใครจะปล่อยให้คนอย่างเจ้าออกไปได้ มิใช่คนของสำนัก เจ้าเข้ามาเพ่นพ่านทำไม มีเป้าหมายอะไรกันแน่” รอบนี้ผู้กล้าคนหนึ่งกระโจนออกมาพุ่งเข้าใส่บุรุษชุดดำเต็มแรง “เจ้าเป็นใคร เรื่องของข้าเป็นกงการอะไรที่ต้องรายงานเจ้าด้วยงั้นรึ” ผู้บุกรุกยกกระบี่ขึ้นตั้งรับก่อนจะต่อสู้กับคนของสำนักเถียนเจี๋ยไฉ่สองสามกระบวนท่าจนไม่กี่อึดใจต่อมาก็ซัดผู้กล้าคนนั้นกระเด็นออกไป โชคยังดีที่ร่างนั้นถูกรับไว้ได้ก่อนที่จะกระแทกพื้นจนได้รับบาดเจ็บ “มาไม่เลือกเวลาเลยนะ ต้องให้อาจารย์สั่งสอนเจ้าอีกกี่ครั้งถึงจะเข็ดหลาบ” ชายในชุดสีขาวฟ้าก้าวเข้ามาเผชิญหน้ากับอดีตลูกศิษย์ไม่รักดีที่บุกสำนักเพียงลำพังอย่างจางหย่งฟู่ “หึๆ อาจารย์ วันนี้ก็ช่วยสั่งสอนศิษย์ด้วยเถิดขอรับ” เห็นอีกฝ่ายเล่นบทอาจารย์กับลูกศิษย์จึงอดไม่ได้ที่จะโต้กลับแบบเดียวกัน พริบตากระบี่ในมือของคนทั้งสองต่างเข้าปะทะกันจนมองตามไม่ทัน เสียงของอาวุธมีคมที่ฟาดฟันลงมาทำให้คนโดยรอบกระจายตัวออกราวกับผึ้งแตกรัง เคร้ง! เคร้ง! “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า การตายของซือเมี่ยวเป็นเพราะเจ้าหรือไม่” สือเฟิงเหมียนเอ่ยถาม เรื่องการตายของนางคงไม่มีใครไม่รู้โดยเฉพาะกับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา “ที่ท่านหนักมือกับข้าวันนี้เป็นเพราะนางงั้นรึ” ใบหน้าของหย่งฟู่เผยรอยยิ้มยียวน “ตอบมา” รอยยิ้มและคำพูดสมเป็นบุรุษอันดับหนึ่งในใต้หล้าหายไปจากใบหน้าของอาจารย์หนุ่มเหลือไว้เพียงความเฉยชาและดวงตาที่มีโทสะเจือปนอยู่ด้านใน “หากท่านมิได้เห็นด้วยตาตนเองว่าข้าแทงกระบี่ทะลุอกนางจนสิ้นใจตรงหน้าท่านก็คงมิใช่ฝีมือข้าหรอก” คำตอบของอดีตลูกศิษย์มิใช่ว่าเชื่อถือไม่ได้ มันออกจะสมเหตุสมผลด้วยซ้ำ เฟิงเหมียนรู้จักเขามาตั้งแต่อีกฝ่ายอายุเพียง 4 หนาวก่อนที่หย่งฟู่จะออกจากสำนักไปเมื่อวัย 15 หนาว หากอีกฝ่ายต้องการให้เขาเจ็บปวดคงเลือกที่จะสังหารสตรีผู้นั้นให้ตายตรงหน้าตนมากกว่า “สนใจข้าก่อนดีหรือไม่” กระบี่เล่มบางพุ่งตรงมาขนานกับระดับสายตาจนสังเกตได้ยาก หากสือเฟิงเหมียนไม่เบี่ยงตัวหลบคงถูกกระบี่เล่มนั้นแทงทะลุอกตามที่จางหย่งฟู่กล่าว “ต้องให้ข้าสังหารเจ้าให้ตายเลยหรือไม่ถึงจะหยุดทำตัวต่ำช้าเช่นนี้” “ข้ามาเพียงเพราะต้องการไหว้หลุมศพท่านแม่ ติดก็เพียงแต่ลูกศิษย์ตาดีของท่านดันเห็นเข้าก่อนที่ข้าจะได้ออกไปเงียบๆ ก็เท่านั้น” เจ้าของอาภรณ์สีเดียวกับราตรีในค่ำคืนนี้แจ้งไปตามจริง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD