CHAPTER 1
Graph’s part
Rrrr
-อุ๋ม-
“กำลังไปแล้วครับ” ผมกดรับแล้วกรอกเสียงเข้าไปในสาย ขณะที่มืออีกข้างยังคงทำหน้าที่ควบคุมพวงมาลัย มุ่งหน้าไปทางรังสิต อีกไม่เกินสิบห้านาทีก็จะถึงที่หมาย
“อ้าว กำลังมาแล้วเหรอ คืออุ๋มจะบอกว่านัดวันนี้อุ๋มขอยกเลิกนัดก่อนอะ”
หัวคิ้วขยับย่นเข้าหากันเมื่อได้ฟัง นัดกันมาหลายครั้งแต่ต้องมีเหตุให้ไม่ได้เจอกันตามนัด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากอุ๋ม ไม่ใช่จากผม ผมพร้อมที่จะไปหาอุ๋มตลอด ขอแค่เธอบอกว่าอยากเจอ รังสิตก็แค่หน้าปากซอย
“ทำไมล่ะ” ผมถาม คำตอบของอุ๋มก็คงมีอยู่แค่ไม่กี่อย่าง พ่อไม่ให้ออกจากบ้าน… แม่ชวนไปตลาด… สอนการบ้านน้องชาย… หรือไม่ก็
“ป้ามาจากสุพรรณอะ อุ๋มเลยต้องอยู่บ้าน”
“โอเคครับ งั้นไว้นัดกันวันหลังนะ” ผมกดวางสายแล้วโยนสมาร์ตโฟนไปที่เบาะข้าง ๆ
ผมชินแล้วแหละ ชินกับการที่นัดแล้วไม่ได้เจอกัน อุ๋มเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันกับผม เธออยู่คณะนิเทศ ปีเดียวกัน การจะได้เจอหน้าอุ๋ม นอกจากผ่านโซเชียลต่าง ๆ ในสมาร์ตโฟน ก็ต้องไปเจอเวลาที่อุ๋มมีงาน แต่การที่ไปหาที่งาน ก็ใช่ว่าจะเข้าไปพูดคุยกับอุ๋มได้สักหน่อย เข้าไปคุยด้วยในฐานะผู้ที่ให้ความสนใจในสินค้าต่าง ๆ เพียงเท่านั้น
ผมกลับรถแล้วขับตามทางมาเรื่อย ๆ ไม่คิดจะกลับไปที่บ้านไอ้ไฟ บ้านของเพื่อนสนิทที่ผมไปอาศัยอยู่ด้วย เมื่อก่อนเราก็จับกลุ่มอยู่ด้วยกัน แต่ปัจจุบันต่างคนต่างมีแฟน แยกย้ายกันไปบ้าง วันหยุดพวกเพื่อนผมก็ไปเที่ยวกับแฟน หากผมกลับบ้านไปตอนนี้ ก็ต้องไปนั่งห่อเหี่ยวใจอยู่คนเดียว
-กลอย-
ผมเอื้อมหยิบสมาร์ตโฟน แล้วกดต่อสายหากลอย
“โทรมาทำเชี่ยอารายยยย” น้ำเสียงงัวเงียแบบนี้ แสดงว่าการโทรไปของผมนั้นปลุกให้เธอตื่น
“วันนี้ว่างปะ” ผมถามกลับไป
ที่ผมเลือกโทรหากลอย เพราะคิดว่ากลอยว่างแน่ ๆ ทั้งแก๊งเหลืออยู่ไม่กี่คนที่ยังโสด โสดแบบสนิท โสดแบบไม่มีใครเอา โสดแบบมีคนคุยก็เหมือนไม่มี เหลือแค่กลอยและผม แค่ผมและกลอย ใช่ครับ เหลือกันอยู่สองคนนี่แหละ สาว ๆ คนอื่น ถึงจะยังไม่คบกับใครจริงจัง แต่ก็มีคนคุย คุยกันหวานแหวว ไม่นานก็คงคบ ส่วนพวกหนุ่ม ๆ ก็เหลือแค่ไอ้ภีมและผม แต่ไอ้ภีมน่ะเขามีสาวมาข้องเกี่ยวด้วย มันก็ไม่ได้โสดสนิทหรอก
“ว่าง มึงมีไร”
“ไปดูหนังกันไหมอะ” ผมอุตส่าห์จองตั๋วผ่านแอปไว้แล้ว ก็ไม่อยากจะเสียเปล่า ไม่ได้ไปดูกับสาวที่ผมแอบชอบ ก็ไปกับเพื่อนแทนก็แล้วกัน
“มึงถูกพริตตี้เทมาอีกแล้วใช่ปะ” กลอยรู้ทันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทุกครั้งที่อุ๋มเบี้ยวนัด ผมก็จะหันไปหากลอยทุกที ก็อย่างที่บอกว่าเหลือกันอยู่สองคน ผมก็ไม่รู้จะหันไปหาใครแล้ว
“อือดิ มึงไปปะ”
“เออ ๆ กี่โมง”
“อีกยี่สิบนาที กูเข้าไปรับ”
“ฮะ!”
ผมรีบกดตัดสายหลังจากที่กลอยอุทาน ไม่อยากฟังคำด่าของกลอยต่อ เล่นนัดเวลาแบบกระชั้นชิดขนาดนี้ กลอยต้องด่าผมแน่นอน ยิ่งเธอเพิ่งตื่นแบบนั้นด้วย ปกติกว่าจะใช้เวลาในการอาบน้ำ เลือกชุด แต่งหน้า ทำผม ก็ปาไปราว ๆ หนึ่งชั่วโมง แต่นี่ทุกอย่างจะต้องเสร็จภายในยี่สิบนาที ตอนนี้กลอยคงตาลีตาเหลือกรีบลุกไปอาบน้ำแน่ ๆ
ผมก็ไม่ได้จะแกล้งกลอยหรอก แต่โรงภาพยนตร์ที่ผมจองไว้อยู่แถวรังสิต ผมเข้าไปรับกลอยแล้วก็ต้องวนกลับออกมาอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการเดินทาง เลยต้องเผื่อเวลาไว้สักหน่อย เดี๋ยวจะไม่ทันหนังฉายเอาได้
ออด ออด
ยืนกดออดหน้าห้อง รอเจ้าของห้องมาเปิดประตูให้ ครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก คนด้านในใบหน้างอง้ำ หน้าตาไร้เครื่องสำอาง
“จืดฉิบหาย” แกล้งว่าไปงั้น ทั้งที่ในใจกำลังชื่นชม หน้าตาที่ไม่มีสีสันจากการแต่งเติมเครื่องสำอาง น่ารักจะตาย ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนี้ถึงชอบประโคมสีสันให้ใบหน้านัก
“เพราะมึงนั่นแหละ” กลอยเดินนำหน้าไปที่ลิฟต์ ผมก็นึกว่าแค่เปิดให้ผมเข้าไปข้างใน แล้วเธอจะไปแต่งหน้าต่อเสียอีก ไม่คิดว่าจะยอมออกจากห้องทั้งที่หน้าสด
“ไม่แต่งหน้าก่อนเหรอ” ผมถามก่อนที่ลิฟต์จะมาเปิดออกตรงหน้า กลอยปรายตามองผมแล้วเดินเข้าไป เธอเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบดินสอเขียนคิ้วและกระจกพกพาออกมา
เขียนคิ้วได้แค่ข้างเดียว ลิฟต์ก็เปิดออก กลอยอ้าปากค้างแล้วหันมามองหน้าผม
“กูกดกลับขึ้นไปก่อนได้ปะ” กลอยถาม
“มึงจะบ้าเหรอ” ผมฉุดแขนกลอยให้เดินตามผมออกมา ลิฟต์ลงมาถึงชั้นล่างแล้ว จะกดกลับขึ้นไปเพื่อ?
“กูมีคิ้วแค่ข้างเดียวเองนะกราฟ”
“เออน่า ไม่เจอใครหรอก”
“น้องกลอย มีพัสดุมาส่งค่ะ” ผมพูดไม่ทันขาดคำ พี่ที่ห้องนิติก็เรียกกลอยเลย กลอยทำหน้าตกใจ และไม่ยอมหันไปหาคนเรียก ผมเลยเป็นฝ่ายหันไปตอบให้เสียเอง
“ไว้ที่นี่ก่อนครับ พอดีมีธุระต้องรีบไป”
“ได้เลยค่า”
กลอยพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เมื่อเข้าไปนั่งในรถ กลอยหันมามองค้อนผม แล้วรีบเขียนคิ้วอีกข้างให้เสร็จก่อนที่ผมจะขับรถออกจากคอนโด…