Chapter 4
ยั่วนัก รักซะให้เข็ด (1)
กระแช่แก้วที่สองถูกกรอกลงคอของนรบดีอย่างรวดเร็ว ด้วยรสชาติที่หวานหอม ทำให้ชายหนุ่มถึงกับติดใจในรสชาติของน้ำเมาชนิดนี้ยิ่งนัก
“มันทำจากอะไรเหรอครับ”
ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความสนใจ หลังจากที่ผลัดกันดื่มจนหมดไปหนึ่งขวด แต่ดูท่าว่าจะไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายล่าถอย ด้วยกลัวว่าตนจะได้ไปทำในสิ่งที่ค่อนข้าง พิเรนทร์อยู่มากทีเดียว
“ซูการ์ มิ๊กซ์ เอ่อ มิ๊กซ์ เดอะ วูด”
ไอรดาทำท่านึกประกอบการอธิบาย ด้วยเธอเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่า จริง ๆ แล้วส่วนผสมมีอะไรบ้าง หญิงสาวจึงอธิบายตามความเข้าใจของตนออกไป อีกฝ่ายทำหน้างงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
“ภาษาไทยก็ได้ครับ”
“ก็ฉันอยากอินเตอร์กับเขาบ้าง”
นรบดีหัวเราะให้กับคำพูดของหล่อน ก่อนที่เขาจะยกแก้วว่างเปล่าขึ้นมาดู
“เวรี่กู้ด”
นรบดียกนิ้วให้ถึงรสชาติที่เยี่ยมยอด พลางรินใส่แก้วให้หล่อนบ้าง ไอรดารับแก้วที่เขายื่นให้มาถือไว้อย่างมึน ๆ เพียงแต่ไม่อยากแสดงออกมาให้อีกฝ่ายจับได้ ด้วยกลัวว่าตนจะเสียหน้าที่เป็นคนต้นคิดท้าทายออกมา แต่กลับเป็นหล่อนเองที่ทำท่าจะร่วงเป็นคนแรก ด้วยคาดไม่ถึงว่าคนที่ไม่เคยลิ้มรสเครื่องดื่มชนิดนี้เช่นชายหนุ่มตรงหน้า จะทานทนกับฤทธิ์ของมันได้อย่างน่าทึ่ง
“อืม…มันอร่อยก็จริง แต่ขอบอก ดื่มแล้วแทบจำทางกลับไม่ได้”
หญิงสาวยกนิ้วกลับบ้าง หากแต่ทว่ายังทำเนียนไม่ยอมดื่มแก้วถัดไป
“ไม่ได้กินผมหรอก…หึ ๆ”
‘นี่เราท้าผิดคนหรือเปล่านะ ซวยแล้วสิ ยายไข่มุก’
ไอรดากัดฟันยิ้มออกมา ซึ่งหล่อนพยายามยื้อเวลาเอาไว้ หวังให้อีกฝ่ายยอมล่าถอยกลับไป
“ดื่มสิครับ หรือว่า ยอมแพ้ผมแล้ว”
ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมดื่มแก้วต่อไป มือแกร่งยื่นไปกอบกุมมือนุ่มข้างที่ถือแก้วเอาไว้
ก่อนบังคับให้หล่อนยกแก้วขึ้นไปจ่อริมฝีปากเพื่อดื่มมัน
“ฉันไม่ยอมแพ้หรอกย่ะ ฝันไปเถอะ
คำพูดแสนมั่นใจเอ่ยออกมา ก่อนกรอกลงคอจนหมดแก้วตามคำรบเร้าของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่
“คร้าบบ ผมรู้ว่าคุณน่ะ เมรีขี้เมา”
“รู้แล้วก็ถอยออกไปซะ เพราะผู้หญิงอย่างฉันมันไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด”
“ไม่เป็นไร ผมชอบเมรีขี้เมา โดยเฉพาะคอทองแดงแบบคุณ
ชายหนุ่มอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ จนอีกฝ่ายหมั่นไส้รัวกำปั้นมาที่หน้าขาของเขาเป็นชุด
“จะคอทองแดงก็เรื่องของฉัน และจะคอยดูต่อไป ขี้คร้านพอกลับเมกาก็ลืมกัน เหอะ”
“หากลืม ก็คงเป็นใจของผมเสียแล้วล่ะ เพราะว่าผมได้ฝากไว้ที่ฟาร์มแห่งนี้แล้ว”
“นี่คุณ…อะไรจะขนาดนั้น เก็บคำหวานของคุณไปพูดที่อื่นเถอะ ฉันกลัวมดมันจะมากัดแม่วัวของฉันตายก่อนน่ะสิ” หญิงสาวหัวเราะกลบเกลื่อน แท้ที่จริงหล่อนกำลังอายต่างหาก
“ท่าทางของผมมันไม่น่าเชื่อถือมากเลยใช่ไหม”
คราวนี้นรบดีเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ มุมนี้ของเขาหล่อนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“ใช่…”
“คุณคงไม่รู้อะไรสินะ ว่าผมเกลียดการเลิกรามาก
“หือ…”
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งขึ้นมา จนไอรดาตั้งหลักรับแทบไม่ทัน หล่อนไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“การเลิกราทำให้ผมต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่นึกถึงมัน”
นรบดีถอนหายใจยาวออกมาอย่างหนักหน่วง ไอรดารับรู้ได้ถึงความเคร่งเครียดที่ฉายออกมาจากแววตาคู่คม คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันจนยุ่ง ขณะเท้าศอกลงบนโต๊ะ แล้วเอามือเท้าคางไว้
“คุณกำลังจะบอกอะไรฉัน”
“จริง ๆ แล้วผมเติบโตมาท่ามกลางความรักของคุณแม่เพียงคนเดียว คุณแม่ต้องอดทนเลี้ยงดูผมมาเพียงลำพัง ท่านเคยทำงานในฟาร์มโคนม เป็นลูกจ้าง แต่เพราะความขยันและซื่อสัตย์ของท่าน นายจ้างจึงไว้ใจให้ควบคุมงานบริหาร”
“คุณแม่ของคุณ…เป็นคนไทยใช่ไหม”
“อือฮึ…คุณพ่อเป็นชาวอเมริกัน แต่ผมไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อ…”
ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูดไปพักใหญ่ ราวไม่ต้อง การเอ่ยถึงเรื่องราวอันน่าอดสูนี้ให้หญิงสาวเบื้องหน้าได้รับทราบ แววตาที่สั่นไหวของเขาทำให้ไอรดาตัดสินใจเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
“เอ่อ…ถ้าคุณลำบากใจ ไม่ต้องเล่าก็ได้”
“คุณเป็นคนแรก ที่ผมมานั่งระบายเรื่องส่วนตัวให้ฟัง ก็...ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย ขณะจงใจสบสายตาเข้ากับแววตาคู่สวย ไอรดารีบหลบสายตาด้วยความหวั่นเกรง แววตาของเขาช่างมีมนต์สะกดอย่างประหลาด หญิงสาวคิด
“เอ่อ ขะ คุณเมาหรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้สิครับ รู้เพียงแต่ว่าอยากระบายออกมาบ้าง ก็เท่านั้น”
“แล้วฟาร์มมาเป็นของคุณได้ยังไงคะ”
“ผมถือว่าครอบครัวผมโชคดีมาก ๆ ที่เจ้าของฟาร์มไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ลูกก็ไม่มี เขาก็เลยโอนมาให้คุณแม่ผมบริหารต่อ ตอนนี้เจ้าของเก่าก็เสียไปแล้ว”
“น่าทึ่งมาก ๆ คุณแม่ของคุณต้องเป็นหญิงไทยที่เยี่ยมมาก ๆ ขนาดฝรั่งยังยอมรับ”
“จริง ๆ คนไทยเราเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ขอเพียงตั้งใจที่จะทำอะไรอย่างจริงจัง ก็จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนักหรอก”
“แต่...คนเก่งมักไม่ได้รับการสนับสนุน”
“อืม…คนไทยที่เก่ง ๆ หลายคนถึงได้ไปทำงานอยู่ต่างประเทศกันหมด”
นรบดีเอ่ยขึ้น เพราะเขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำงานให้กับรัฐบาลต่างประเทศ หากให้มาหางานทำที่เมืองไทย ชายหนุ่มก็ยังไม่รู้เลยว่า จะมีที่ให้เขายืนหรือไม่
“รวมทั้งคุณด้วยสินะ แล้วคุณทำงานให้กระทรวงอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ…”
นรบดีถึงกับนิ่งอึ้ง ด้วยไม่ทันได้คิดคำตอบเอาไว้
“ทำไมคะ มันเป็นความลับหรือยังไง”
“ผมอยู่องค์กรอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด แต่ก็ทำงานให้รัฐบาลเช่นเดียวกัน”
“วิจัยเหรอคะ”
หญิงสาวเดา ก็เพราะเขาบอกว่าเป็นด็อกเตอร์นี่นะ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
นรบดีเออออห่อหมกไปตามกัน ด้วยเขาเองก็ไม่อยากเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากไปกว่านี้ เขารู้ดีว่าความเคลื่อนไหวของเขาทุกฝีก้าว ก็ได้ถูกจับตาโดยแพชชั่น วัน อยู่เช่นเดียวกัน
โดยชายหนุ่มต้องสวมนาฬิกาที่ฝังชิพติดตามตัวทุกครั้งที่ออกข้างนอก หากวันใดเขาฝ่าฝืน นั่นหมายถึงว่าเขาจะต้องถูกเพ่งเล็งจากแพชชั่น วัน ว่าเขากำลังทำตัวมีปัญหากับองค์กร และตอนนี้ชายหนุ่มเริ่มจะรำคาญคาร์กเนอร์ ที่คอยจะตำหนิเขาในเรื่องที่มัวจีบสาว ฝ่ายนั้นอยากให้เขาหันไปให้ความสนใจเรื่องงานมากกว่าความรัก เขาจะไม่เป็นอย่างคาร์กเนอร์ ที่ใจแข็งเกินไป
“คุณเกลียดการเลิกรา เพราะคุณพ่อทิ้งคุณไป”
หญิงสาววกมาเรื่องเดิม ด้วยยังค้างคาใจอยู่
“ใช่…ผมถึงได้บอกไงครับว่าผมเกลียดการเลิกรา ผมท่องเอาไว้เสมอ หากรักใครสักคนจนถึงขั้นร่วมชีวิตกัน ผมจะไม่ทำให้เธอคนนั้นเสียใจโดยเด็ดขาด จะไม่มีวันให้เธอต้องเผชิญชะตากรรมแบบคุณแม่ของผม”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับสายตาคมกริบ ที่จับจ้องมายังดวงหน้าของคนฟังอย่างมีความหมายซ่อนอยู่ จนอีกฝ่ายต้องรีบเสมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
แววตาของเขามันมีพลังบางอย่าง พลังที่ทำให้หล่อนรู้สึกสั่นสะท้าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ไอรดาคิดพลางห่อไหล่แล้วกอดตัวเองเอาไว้ เพื่อปกปิดความเก้อเขินที่ฟ้องอยู่บนแก้มนวลทั้งสองข้าง
“ผู้หญิงคนนั้นคงโชคดีมากนะคะ”
“คุณอยากเป็นผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”
“โน…ฉันไม่ชอบฝรั่งแบบคุณ”
หญิงสาวตอบโดยไม่ต้องคิด แท้จริงหล่อนกำลังเก้อเขินกับคำถามแบบตรงประเด็นของเขามากกว่า จึงแสร้งเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“อย่างน้อยผมก็มีสายเลือดไทย”
ไอรดาลอบสังเกตใบหน้าคมคร้าม หล่อนต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า หน้าตาของเขาก็ไม่ได้ออกไปทางฝรั่งจ๋าเสียทีเดียว ออกจะค่อนมาทางเอเชียเสียด้วยซ้ำ ด้วยความที่เป็นลูกผสมอเมริกัน เขาจึงค่อนข้างหล่อคมเข้มแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครเหมือน
“นั่นแหละค่ะ ใจฉันมันคิดว่าถึงอย่างไรคุณก็ไม่ใช่ชายไทยแท้อยู่ดี”
นรบดีมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาไหววูบลงไป ทว่าก็สามารถปรับมาเป็นปรกติดังเดิมได้ไม่ยากนัก ด้วยคิดว่า หล่อนกับเขาเพิ่งรู้จักกัน จะให้หญิงไทยคนหนึ่งมาตกหลุมรักเขาภายในระยะเวลาอันรวดเร็วก็ใช่ที่
“ชีวิตคนเราก็มีเรื่องร้ายต่างกัน ดูอย่างฉันสิ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว แต่…”
ไอรดาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น เมื่อรู้สึกอึดอัดที่อีกฝ่ายเงียบไปถนัดใจหลังจากถ้อยคำปฏิเสธของหล่อนถูกเอ่ยออกมาเมื่อครู่ และดูท่าว่าจะได้ผล เมื่อเรื่องราวของหล่อนทำให้เขาสนใจขึ้นมาทันที
“แต่อะไรเหรอครับ…”
“ที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันคือภาพลวงตาแทบทั้งสิ้น”
พูดออกมาแล้วก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ เมื่อเรื่องราวที่สุมใจอยู่ได้คุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่หล่อนพยายามจะไม่คิดมากกับเรื่องนี้ก็ตามที
“ยังไงครับ ผมไม่เข้าใจ”
“ที่ดินผืนนี้กำลังจะถูกธนาคารยึด เนื่องจากคุณพ่อเอาไปจำนองน่ะ”
“หืม...คุณล้อเล่นหรือเปล่า”
“ฉันพูดจริง คุณพ่อเอาที่ไปจำนองเพื่อนำเงินไปลงทุนกับเพื่อนสนิท เงินที่ดินกับเงินเก็บเป็นร้อย ๆ ล้าน ถูกโกงจนหมดตัว”
“จริงเหรอนี่!”
นรบดีถึงกับตกใจในคำบอกเล่าของเจ้าหล่อน เขาไม่อยากจะเชื่อว่า ที่ดินผืนงามผืนนี้จะติดจำนองอยู่
“ทุกวันนี้คุณพ่อกลุ้มใจมาก บ่นแต่ว่าตัวเองทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน ฉันเองก็กลัวว่าท่านจะคิดมากจนทำอะไรที่คาดไม่ถึงลงไป”
หญิงสาวเล่าออกมาจนหมดเปลือก ก่อนกระดกแก้วน้ำเมาเข้าปากตามไป ราวกับว่าต้องการให้ช่วยดับความกลัดกลุ้มที่ฝังลึกอยู่ในใจ เมื่อนึกขึ้นมาได้อีกครั้ง หล่อนจึงไม่รู้จะไประบายกับใคร ฤทธิ์ของน้ำเมาทำให้หล่อนไว้ใจชายหนุ่มเบื้องหน้า เล่าเรื่องความลับของฟาร์มให้เขาได้รับรู้จนหมดสิ้น
“ฉันต้องการเงินสักก้อน เพื่อไถ่ที่ดินผืนนี้คืนมา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหน เพราะไม่มีหลักทรัพย์อะไรที่จะใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้”
“คุณมุก คุณร้องไห้...”
นรบดีตกใจเล็กน้อย เมื่ออยู่ดี ๆ หยาดน้ำตาของหล่อนก็ไหลรินออกมา พลางคิดอย่างไม่น่าเชื่อว่า ผู้หญิงที่มีท่าทีแสนเข้มแข็ง เมื่อยามลืมตัวจะอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้
ปลายนิ้วแกร่งยื่นไปไล้เช็ดคราบหยาดน้ำตาบนพวงแก้มนวล ชายหนุ่มมองหน้าหล่อนนิ่งพลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สักพักรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ได้ผุดพราวขึ้นมาบนใบหน้าคมคร้าม
“หยุดร้องไห้เถอะครับ ผมรับปาก ผมจะหาทางช่วย เหลือคุณเอง”
“คุณจะช่วยฉัน ช่วยอย่างไร เงินไม่ใช่น้อย ๆ นะ”
ไอรดาปาดน้ำตาทิ้งไป ก่อนเงยหน้าขึ้นเพื่อเก็บกลั้นความกลุ้มใจเอาไว้ เมื่อสติที่ยังพอหลงเหลืออยู่ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าหล่อนไม่สมควรแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครได้เห็น
“เอาเถอะ ผมมีวิธีก็แล้วกัน แต่ว่าตอนนี้คุณเมามาก คุยกันไม่รู้เรื่องหรอกครับ”
“ฉันไม่เมา คุณนั่นแหละเมา เพราะเริ่มพูดจาเลอะเทอะ”
ดั่งคำกล่าว ที่ว่าน้ำเมาเข้าปาก คนเราก็ลืมทุกสิ่ง เรื่องราวมากมายถูกแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างออกรส ดูท่าว่าไอรดาเองจะสนุกสนานกับการได้คุยกับเพื่อนใหม่ในค่ำคืนนี้ จนเผลอเล่าเรื่องส่วนตัวไปเสียหลายเรื่อง
กระแช่ขวดที่สองหมดไป พร้อมกับสติของนรบดีและไอรดาที่ล่องลอยตามไปด้วย หากแต่ทว่ายังไม่มีใครยอมที่จะเป็นฝ่ายถอย เนื่องด้วยกลัวจะเป็นฝ่ายเสียเชิงนั่นเอง
แต่ดูท่าว่านรบดีจะควบคุมสติได้มากกว่า ชายหนุ่มจึงยังคงสงบนิ่งได้อย่างน่าทึ่ง
“คุณมุก พอเถอะครับ”