เช้าอีกวันฉันก็มาเรียนตามปกติ พร้อมกับหัวใจที่ห่อเหี่ยว ถามว่าอกหักเหรอ? ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ซึมอะไรเหมือนกัน วันนี้ดันมาเช้ากว่าทุกวันอีกด้วยค่ะ เนื่องจากพ่อกับแม่ไปทำงานเร็วไง ฉันก็เลยต้องเร็วตามไปด้วย เหลือบดูนาฬิกาเพิ่งจะหกโมงครึ่งเอง พวกมันก็ยังไม่มีใครมาหรอก ฉันเลยเลือกที่จะมานั่งรอในโรงอาหารแทน แต่แค่ไม่นานที่นั่งตรงข้ามกลับมีใครบางคนมานั่งด้วย
“ไงเรา มาแต่เช้าเลยนะ”
“พี่ริวก็มาเช้าเหมือนกันนะคะ”
“ปกติของพี่ครับ เรื่องเมื่อวานพี่ขอโทษแทนเกตุด้วยนะ”
“...”
ใจจริงฉันอยากจะถามออกไปตรง ๆ เลยด้วยซ้ำว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า ถึงฉันจะไม่ถูกชะตากับพี่เกตุเท่าไหร่ แต่ผู้หญิงเหมือนกันมันดูออกค่ะว่าเขารู้สึกกับพี่ทิวมากแค่ไหน
“มันไม่ใช่แบบที่เราคิดหรอกนะ” พี่ริวพูดดักทางฉันก่อนเลยค่ะ
“พี่รู้เหรอว่าหนูคิดอะไร”
“พี่เป็นผู้ชายนะ ... เหมือนกับไอ้ทิวนั่นแหละ”
“หนู...”
“ไอ้ริว!! ไปยุ่งกับน้องอ้วนของไอ้ทิวมันทำไมอ่ะ เดี๋ยวมันก็เตะปากมึงหรอก”
“หุบปากไอ้เต้!! กูว่ามันจะเตะปากมึงมากกว่านะ”
“ฮ่า ๆ ”
“ไม่ต้องไปสนใจมัน สนแค่ไอ้ทิวคนเดียวก็พอครับ”
“เกี่ยวอะไรกันล่ะคะ”
“พี่รู้ว่าเราเข้าใจ”
“...” ฉันเข้าใจแล้วยังไง? ความชัดเจนของฉันคือแอบชอบเขามาโดยตลอดข้อนี้ฉันรู้ตัวเองดีค่ะ แต่กับพี่ทิวฉันไม่รู้เลย และไม่อยากคิดไปเองด้วย
“ไว้รอฟังจากปากมันเองดีกว่านะ พี่ไปก่อน”
“ค่ะ” ฉีกยิ้มตามมารยาท สรุปว่าฉันต้องรอความชัดเจนงั้นเหรอ... หรือว่าความจริงแล้วฉันควรแอบชอบเขาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ
ครืด ... ครืด ...
มือถือฉันมีสายเรียกเข้าค่ะ แต่ว่าเป็นเบอร์แปลก
“ฮัลโหล”
“...”
“ใครอ่ะ ไม่พูดวางนะ”
“หวัดดี” เป็นเสียงผู้ชายค่ะ
“เอ่อ ... นั่นใครเหรอคะ”
“คิดว่าจะไม่รับสายซะแล้ว เราต้นไง ที่ขอเบอร์เธอจากเพื่อนอ่ะ”
“อ๋อ! เรานึกออกแล้ว”
“แนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะ เราชื่อต้น เป็นคนไม่หล่อแต่จริงใจมาก อยากทำความรู้จักกับเธอ” เป็นการแนะนำตัวที่ทำให้ฉันอยากคุยต่อด้วยจริงค่ะ น้ำเสียงมันบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นคนคารมณ์ดีและคุยเก่งมากด้วย
“อืม เราชื่อน้ำตาล เรียกน้ำหรือตาลก็ได้ แล้วแต่”
“ต้นรู้แล้วแหละไอ้จูนมันบอก” โอ้โห... มีการตีสนิทกันก่อนด้วย
ต้นเป็นคนที่คุยสนุกมาก คือมันสามารถพูดออกมาให้คนฟังอย่างฉันคล้อยตามได้เลยทีเดียว แต่ไม่ได้กระหนุงกระหนิงอะไรกันนะคะ แค่แลกเปลี่ยนเรื่องคุยกันเฉย ๆ ต้นมันเป็นพี่ฉันหนึ่งปี แต่นางเข้าเรียนช้าก็เลยได้อยู่รุ่นเดียวกับฉัน
“เดี๋ยวกลางวันโทรไปใหม่นะ เราเข้าโรงเรียนก่อน”
“โอเค”
“อะแฮ่ม! หมูเอ็งว่าเราสองคนตาฝาดไหม?”
“ไม่เลยเพื่อน ข้าก็เห็นเหมือนกัน” ไม่รู้ว่ามันสองคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เงยหน้าขึ้นมาอีกทีมันก็อยู่ตรงนี้แล้ว
“ไอ้ต้นใช่ป่ะ”
“อืม..”
“เฮ้ย!! มึงอย่าทำหน้าเครียดดิวะ มึงเองก็ยังโสด รักษาสิทธิ์ตัวเองหน่อย ก็แค่เพื่อนคุยเอง มันโทรมาก็รับ ขี้เกียจคุยก็ไม่ต้องรับ”
“...” ที่ไอ้จูนพูดมันก็ถูกค่ะ ก็แค่เพื่อนคุย ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้สักหน่อย ทำไมฉันถึงต้องรู้สึกกังวลด้วยนะ
“ไว้รอพี่ทิวแสดงความชัดเจนให้เห็นก่อนแล้วกันนะ”
พอถึงเวลาเข้าแถว เราสามคนก็เดินไปหน้าเสาธงตามปกติ ที่ผิดปกติคือสายตาหลายคู่ที่มองมาทางฉันก่อนจะหันไปซุบซิบกับกลุ่มเพื่อนตัวเองกันต่อ
“ไม่พ้นเรื่องเมื่อวานสินะ”
“ช่างแม่งมันเหอะ คนร้อยคนจะให้เข้าใจเราทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้” ไอ้จูนมันตบบ่าเป็นเชิงให้กำลังใจฉัน
วันนี้ไม่เห็นพี่ทิวเลยค่ะ ไม่รู้ว่ามาสายหรือขาดเรียน พอเข้าแถวเสร็จก็แยกย้ายกันเข้าห้องพบครูที่ปรึกษา
“น้ำตาล เมื่อวานมีเรื่องอะไรกันวะ” ไอ้พลอยเอ่ยถาม
“ไม่รู้ดิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันพูดออกไปตามความจริง ไม่รู้ว่าควรตั้งชื่อเหตุการณ์เมื่อวานว่ายังไง ก็คงต้องปล่อยไปตามความเข้าใจของคนนั่นแหละ
“ไม่รู้ดิ!! ตอบอย่างกับนางเอก มึงคิดว่าตัวเองสวยมากมั้ง” ไอ้น้องกระแนะกระแหนขึ้น ไม่รู้ว่าไม่พอใจอะไร
“ก็สวยนะถ้าเทียบกับเมื่อก่อน” ฉันก็ปากดีกลับไปเหมือนกันค่ะ
“สวยอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีเป็นของตัวเองด้วย”
“มีอะไรเป็นของตัวเองวะ มึงพูดให้เคลียร์ดิ” ไอ้จูนพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะหยุดยืนข้างฉัน “กูเห็นทุกคนเป็นเพื่อนเหมือนกันหมด แต่กูรู้สึกว่าบางเรื่องมึงก็เหน็บแนมมันบ่อยเกินไปนะ ถ้าที่มึงพูดหมายถึงไอ้พี่ทิวกูบอกเลยว่าเขาชอบมัน!!”
“คิดเองเออเองหรือเปล่า พี่เขาไม่เห็นจะเคยพูดเลย แล้วเนี่ยปากมึงบอกว่าเห็นกูเป็นเพื่อน เท่าที่เห็นกูว่ามึงลำเอียงนะ”
“บางเรื่องไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดหรอก เขาบอกผ่านการกระทำเว้ย”
“...”
หลังจากนั้นจูนมันก็แยกตัวไปนั่งคนเดียวหลังห้อง ฉันรู้ว่ามันกำลังระงับอารมณ์ตัวเองอยู่
“ใจเย็น ๆ เป็นเพื่อนกันอย่าทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะ”แอมพูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน ฉันได้แต่ถอนหายใจออกมา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้จะทำให้ตัวเองต้องคิดมากและทุกข์ใจขนาดนี้
“จูน...”
“กูไม่เป็นไร”
“กูขอโทษ”
“มึงไม่ต้องขอโทษ กูไม่ได้โกรธหรือรู้สึกไม่ดีอะไรทั้งนั้นแหละ แต่กูแค่ไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้ ผิดถูกก็ว่ากันไปดิวะกับไอ้น้องอ่ะหลายครั้งละ เหมือนจะดีแต่ก็ได้แค่เหมือนทั้งที่พวกเราก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งสามปี กูว่านะ มันชอบพี่ทิวแน่นอน”
“...”
“แล้วพูดถึงไอ้ห่านี่ กูอยากให้มึงเปิดใจกับคนอื่นบ้างนะ คนเหี้ยไรนิ่งฉิบหาย ทำอะไรไม่ชัดเจนสักอย่าง กูว่าจะไม่พูดแล้วเชียว”
มันไม่ได้กำลังด่าหรอกค่ะ แต่มันพูดด้วยความหวังดีต่างหาก ฉันเองก็ไม่อยากตัดโอกาสกับตัวเองเหมือนกัน อีกเดี๋ยวพวกเราก็แยกย้ายกันไปตามความฝันของตัวเองอยู่แล้ว ยังต้องเจอผู้คนอีกมากมาย ทุกอย่างก็คงยุติลงเท่านี้แล้วเหลือไว้เพียงความทรงจำเท่านั้นแหละมั้ง