หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ
“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วอ่ะ เศร้า...”
“บ่นไรหมู”
“เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย”
“แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ”
“เวลาเดินโคตรเร็วเลยอ่ะ”
“...”
เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ
“บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก”
“ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ”
“สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน”
“อ่อ”
ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่ จู่ ๆ ก็มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครปามาค่ะ แต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย
“...” อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม ไม่รู้ว่าปาให้ใคร คงจะไม่ใช่ฉันหรอก
“อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ
“ไม่รู้ของใคร”
“กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอีกด้วย
“เขียนอะไรน่ะ”
“ถามใครครับ ปาให้แม่น ๆ หน่อย” ตอบเสร็จก็ปาไปหลังห้องที่พี่มอหกนั่งอยู่ เป็นทิศทางเดียวกับตอนที่ถูกปามาเช่นกันค่ะ
เลิกสนใจกระดาษนั่นแล้วอยู่กับความคิดตัวเองต่อ ในหัวของฉันตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร หรือแม้กระทั่งว่าจบมอสามแล้วจะเรียนต่ออะไร
ปึก!
คราวนี้มันลงหัวฉันเต็ม ๆ เลยค่ะ เบือนหน้าไปมองก็ไม่มีใครสนใจนอกจากสายตาแสนจะเย็นชาของพี่ทิวที่กำลังจ้องมองฉันอยู่
“มานี่กูอ่านเอง” ไอ้จูนมันว่าก่อนจะหยิบก้อนกระดาษไปแต่ฉันกลับรั้งมันไว้ซะก่อน
“ช่างมันเหอะ ไร้สาระ”
“เอาตามนี้?”
“เออ” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งหมดชั่วโมงและได้เวลากลับบ้าน
“รอนี่นะกูไปเอารถก่อน”
“แล้วอ้อล่ะ”
“มันซ้อมเต้นเลิกสามทุ่ม เดี๋ยวอาจารย์ไปส่ง”
“โอเค”
ตกลงกับไอ้จูนเสร็จก็ออกมารอมันตรงหลังโรงเรียน เพราะมันเอารถไปจอดไว้อีกที่หนึ่งบ้านฉันถึงก่อนบ้านมันค่ะ จะบอกว่าเป็นทางผ่านก็ได้แหละ
“ทิวรอด้วยสิ”
“...”
“เรียกไม่หันเลยนะ ไม่เห็นต้องเมินเกตุขนาดนี้”
“มีไร?”
“ทิว...”
“ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัว” พูดจบพี่ทิวก็เดินตรงมาทางฉันแล้วหยุดยืนตรงหน้า “รอใคร”
“ไอ้จูนน่ะ”
“ขอบคุณที่ไม่ตอบอะไรในกระดาษแผ่นนั้น” ฉันมองหน้าพี่ทิวนิ่ง ๆ ก่อนจะตั้งคำถามออกไป
“ในนั้นมีอะไรเหรอคะ”
“เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้หรอก” เขาว่ายิ้ม ๆ แต่มันกลับทำให้ฉันอยากรู้ขึ้นไปอีก
พลั่ก!
“อ๊ะ!”
“กูบอกมึงว่าไงอีเหี้ย!” พี่เกตุเดินเข้ามาผลักฉันเต็มแรงก่อนจะชี้หน้าและด่าทอออกมา
“หยุด!! เป็นเหี้ยไรของมึง กูเคยบอกแล้วใช่ไหม?” พี่ทิวเอาตัวเองบังฉันไว้แล้วหันไปเผชิญหน้ากับพี่เกตุแทน น้ำเสียงและการพูดจาของเขาโคตรจะไร้เยื่อใยเลยค่ะ
“ทิวก็รู้ว่าเราคิดยังไง ตั้งสามปีมันไม่มีความหมายเลยเหรอวะ”
“อะไรที่กูไม่ได้สนใจมันไม่เคยมีความหมายทั้งนั้นแหละ มึงช่วยเลิกระรานคนอื่นจะได้ไหม ถ้ายังอยากเหลือคำว่าเพื่อนอยู่ช่วยกรุณาอย่าล้ำเส้นกูด้วย”
“กูถามจริง ๆ เหอะทิวมึงมีหัวใจบ้างไหม ฮึก..มีความรู้สึกเหมือนกูบ้างไหม”
“...” ทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ความรู้สึกตอนนี้เหมือนฉันเป็นคนมาทีหลังแล้วทำให้เขาสองคนทะเลาะกันเลยค่ะ
“เกิดอะไรขึ้นวะ” พี่ริววิ่งมาก่อนจะมองหน้าฉันกับพี่เกตุสลับกัน “กูบอกมึงกี่รอบแล้วเกตุ”
“ฮึก! ทำไมล่ะ ที่ผ่านมาพวกมึงก็รู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับทิว แล้วทำไมมึงยังเข้าข้างมันอีก”
“เพราะมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงไงเกตุ ถ้ามึงไม่อยากเสียเพื่อน มึงอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม แล้วเนี่ยมึงมาโวยวายใส่น้องมัน มันถูกเหรอวะกูไม่ได้เข้าข้างไอ้ทิวกูแค่พูดตามความเป็นจริงมึงสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นมึงไม่มีสิทธิ์”
“แล้วมันมีสิทธิ์เหี้ยอะไร!! มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกัน”
“แต่ไอ้ทิวมันชอบน้อง มันไม่ได้ชอบมึง!! เลิกบ้าสักที!!”
พี่ริวตวาดออกไปอย่างเหลืออด ฉันได้ยินทุกอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันจะดีกว่านี้หากว่าพี่ทิวเป็นคนพูดคำนั้นออกมาจากปากตัวเอง
“ตาล! มึงทำอะไรเพื่อนกู” ไอ้จูนมาถึงมันก็ตั้งท่าจะเข้าไปหาพี่เกตุทันที
“มึงใจเย็น ๆ กูไม่เป็นอะไร”
“มึงก็เป็นแบบนี้แหละ ครั้งก่อนที่ห้องน้ำมึงคิดว่าไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นหรือไง”
“เออมันจบไปแล้วเลิกพูดเหอะกลับบ้าน”
“เดี๋ยว! เรื่องที่ห้องน้ำหมายความว่ายังไง” พี่ทิวเอ่ยถามพลางมองหน้าฉันกับไอ้จูนหวังจะเอาคำตอบ
“จะหมายความว่ายังไงพี่สนใจด้วยเหรอวะ เอาเวลาถามเรื่องนี้ไปหาความมั่นใจหาความชัดเจนของตัวเองดีกว่านะ จะจีบก็จีบดิวะ กั๊กอยู่นั่นแหละ!! แล้วมึงอีกตัวหนึ่ง ถ้าไม่เลิกวุ่นวายกับเพื่อนกูนะ มึงเจอกูแน่!!” ประโยคหลังไอ้จูนมันหันไปชี้หน้าพี่เกตุค่ะ หลังจากนั้นก็ดึงฉันขึ้นรถและมาส่งบ้านทันที
“จูนมึงอย่าขับรถเร็ว กูกลัว”
“...” มันไม่ตอบแต่ความเร็วของรถก็ลดลงค่ะ จนกระทั่งถึงบ้านฉัน “โทษละกันที่กูพูดแรง ๆ ออกไปแบบนั้น”
“ไม่เป็นไร มึงก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ของมึงกับเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
“เพ้อเจ้อ! ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปและไม่มีอะไรจบลงทั้งนั้นแหละ จุดเริ่มต้นมันยังไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ”
“มีอะไรโทรหากูละกัน”
“อืม ขอบใจมาก ขับรถดี ๆ ”
คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่ช่างเถอะ! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว เพราะจุดเริ่มต้นของพวกเรามันไม่เคยมีอยู่จริง...