หลายเดือนผ่านไป
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พี่ทิวก็ไม่เคยอยู่ในสายตาฉันอีกเลย เพราะเขาเอาแต่หลบหน้า เดินสวนกันก็ทำเป็นไม่เห็น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้กลับมาเป็นคนเดิมเสียที ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดไปเองหรือหวั่นไหวอะไรเกี่ยวกับเขาอีก กับไอ้น้องมันก็ไม่พูดกับฉันเหมือนกันค่ะตั้งแต่ไอ้จูนว่าคราวนั้น ฉันเองก็ไม่ได้สนใจ ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด แยกแยะไม่ได้ก็แล้วแต่...
วันเวลายังคงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงวันปัจฉิมนิเทศ ก่อนหน้าฉันคิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่แยกย้ายกันไปเรียน แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับหวิวแปลก ๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันมันเป็นกิจกรรมที่ต้องบอกลาและอวยพรในเวลาเดียวกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข ความเศร้าและรอยยิ้ม ฉันได้รับคำอวยพรจากรุ่นพี่รุ่นน้องมากมาย แถมยังได้ของขวัญอีกด้วย ได้เขียนข้อความต่าง ๆ ลงบนเสื้อนักเรียนเพื่อบันทึกไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความสุข เคยมีความทรงจำร่วมกันก่อนที่จะหาโอกาสแบบนี้ไม่ได้อีก รู้สึกเหมือนกำลังจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้งเลยค่ะ เพราะทุกคนไปเรียนต่อที่อื่นกันหมด ต้องไปเจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ ฉันเรียนต่อที่เดิมสายวิทย์คณิต ไอ้จูนไฟฟ้ากำลัง หมูบัญชี ที่เหลือก็แยกย้ายกันไปสถาบันต่าง ๆ บางคนก็ย้ายกลับต่างจังหวัด
หมับ!
“มึงห้ามลืมกูนะตาล” ไอ้จูนมันว่าพลางสวมกอดฉัน “มีอะไรให้นึกถึงเพื่อนอย่างกู”
“มึงนั่นแหละจะลืมกูซะก่อน เดี๋ยวเจอเพื่อนใหม่ก็ลืมเพื่อนเก่าอย่างกูแล้วล่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างไม่จริงจังมากนักแต่เหมือนไอ้จูนมันจะจริงจังค่ะ มันผละกอดแล้วมองหน้าฉันอย่างเอาเรื่อง
“เพื่อนเก่าไรมึง!! มันมีเหรอวะเพื่อนเก่า มันมีแต่เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานเท่านั้นแหละ”
“ฮ่า ๆ แค่นี้ต้องจริงจังด้วย”
“ไม่รู้แหละ ถ้าลืมนะกูโกรธ แล้วไอ้พี่ทิวล่ะ มึงเอาไง”
“ไม่เอาไงอ่ะ ให้เขาเป็นความทรงจำที่ดีของกูก็พอแล้ว”
“กูน่าจะทำแบบมึงได้บ้างนะ แอบชอบแต่ไม่ได้ครอบครอง” ลืมบอกค่ะว่าจูนมันเลิกกับอ้อแล้ว อ้อนางไปมีผู้ใหม่เป็นเพื่อนต่างห้อง
“เอาน่า... เดี๋ยวไปที่โน่นมึงก็เจอคนที่ถูกใจเองแหละ”
“มาจุ๊บที! พูดดีมีเหตุผล”
“จูนกูขนลุก”
“ฮ่า ๆ ”
ระหว่างที่กำลังแลกเปลี่ยนข้อความกันอยู่พี่ทิวก็เดินมาหาฉันค่ะ ในมือเขามีตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลมาด้วย พวกเราสบตากันนิ่ง ๆ ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงหรือจะพูดอะไรดีจนเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
“พี่ให้” เขาว่าพลางยื่นเจ้าตัวนั้นมาให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ หนูไม่มีอะไรให้พี่เลย งั้น... เอากิ๊บติดผมไปแทนแล้วกันนะคะ” ว่าจบฉันก็ปลดกิ๊บบนศีรษะตัวเองมาให้เขา “ถือว่าแลกกัน” พี่ทิวรับไปแล้วอมยิ้มให้ฉัน บนเสื้อเขาแทบไม่มีพื้นที่สีขาวหลงเหลือเลยค่ะ มีคำอวยพร คำบอกรักเต็มไปหมด แถมยังมีสติ๊กเกอร์รูปหัวใจติดมาอีกด้วย
“รุ่นน้องติดให้ทั้งนั้นแหละ” เขาคงเห็นฉันมองอยู่นานล่ะมั้งเลยพูดออกมาก่อน
“ค่ะ แล้วพี่เรียนต่ออะไรเหรอคะ” ไหน ๆ ก็จะไม่เจอกันแล้ว ก็ถามมันไปให้จบ ๆ ซะเลย
“วิศวเครื่องกลน่ะ”
“ถ้าชอบทางนั้นจบมอสามทำไมพี่ถึงไม่เรียนสายอาชีพไปเลยล่ะคะ”
“เพิ่งรู้ตัวน่ะว่าอยากทำอะไร แล้วเราล่ะ”
“ยังไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าอยากทำอะไร” ฉันว่ายิ้ม ๆ กับคำตอบของตัวเอง ก็มันยังไม่ค้นพบนี่คะ
“โตอีกหน่อยก็รู้เองแหละ ตั้งใจเรียนนะ ... เราจะได้เจอกันอีก”
“เราจะได้เจอกันอีก ... เป็นคำถามหรือเป็นประโยคบอกเล่าคะ”
“แล้วแต่จะคิด บางอย่างมันถูกที่แต่ยังไม่ถูกเวลา ชีวิตวัยเรียนมันสนุกที่สุดแล้ว อย่าเพิ่งไปโฟกัสเรื่องอื่นเลย”
“...” ความรู้สึกของฉันเหมือนพี่ทิวกำลังจะบอกอะไรเลยค่ะ แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา “ทำไมพี่ถึงไม่พูดให้ชัดเจนไปเลยล่ะคะ”
“ถูกที่ผิดเวลา แค่นี้มันก็ชัดมากพอแล้วนะ”
“...” ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนั่นแหละ
“พี่ไปก่อนนะ” เขาพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนจะค่อย ๆ หันหลังเดินไปจากตรงนี้มันเหมือนคำบอกลาและได้คำตอบในเวลาเดียวกัน
“จูน มันหมายความว่ายังวะ”
“ไม่รู้ รู้แค่ว่าเขาต้องกลับมาหามึงแน่ ถูกที่ผิดเวลา ก็แปลว่ายังไม่ถึงเวลา ถ้ามึงกับเขาเจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ มึงก็จะได้ความชัดเจนเมื่อนั้นแหละมั้ง”
“...”
“อย่ามองแบบนี้ กูแค่เดาเอาไม่ได้รู้ลึกตื้นหนาบางอะไรมา”
“แต่มึงตอบกูละเอียดมากนะ”
“เออน่า...”
หลังจากจบกิจกรรมฉันก็ไม่เห็นพี่ทิวอีกเลย มีเพียงกลุ่มเพื่อนของเขาเท่านั้น
“มองหาพี่ทิวอยู่ใช่ไหม” ไอ้หมูว่าขึ้น
“ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ”
“เสียใจด้วย พี่ทิวกลับไปแล้ว”
“รู้ได้ไง”
“ก็ข้าเอาของขวัญไปให้พี่ริวมาและรู้มาว่าบ้านพี่ทิวกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจอะไรสักอย่าง เขาเป็นลูกคนเดียวมีหน้าที่สืบสานธุรกิจทั้งหมดต่อจากพ่อแม่แม้ว่ายังไม่พร้อมก็ตาม”
“ข้อมูลแน่นเนอะ”
“น้ำตาลเพื่อนรัก ข้าเอามาฝากเอ็งโดยเฉพาะเลยนะ”
“ขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งเจ้าค่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างจริงจัง ถือว่าได้ข้อมูลชั้นดีเลยล่ะ ไอ้ที่บอกว่ายังไม่ถึงเวลาจะมีเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งด้วยหรือเปล่านะ อีกอย่างพวกเราก็ยังเด็ก ความรักแบบผู้ใหญ่เป็นยังไงยังไม่รู้เลย ถ้าความรักแบบเด็ก ๆ ก็เข้าใจอยู่แอบชอบ แอบมองแต่ไม่อยากครอบครอง มีความสุขได้แม้จินตนาการ
“มึงยังคุยกับไอ้ต้นอยู่ไหม”
“คุย มันก็โทรมาทุกวันแหละ อันที่จริงมึงรู้อยู่แล้วไม่ต้องหลอกถามกูก็ได้นะจูน”
“ไม่เลย! กูแค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเพื่อนกูยังอินเลิฟอยู่หรือเปล่า”
“อินเลิฟห่าไร” ต้นมันสนิทกับจูนประมาณนึงค่ะ ฉันรู้สึกแบบนั้น ถึงเราจะโทรคุยกันทุกวันแต่ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้หรอกนะ นางก็คอยบ่นเกี่ยวกับเพื่อน เกี่ยวกับครอบครัวให้ฟังนั่นแหละ ส่วนเรื่องแฟนมันบอกว่าไม่มี เลิกคุยกันแล้ว
“ก่อนกลับบ้านไปกินข้าวร้านป้าหลังโรงเรียนกัน”
“เอาดิ” มาถึงร้านก็สั่งกัน คุยกันตามปกติ ทุกคนสนุกสนานเฮฮามาก แต่ฉันกลับรู้สึกว่านี่จะเป็นมื้อสุดท้ายที่พวกเราจะมีรอยยิ้ม มีความสุขร่วมกัน เพราะหลังจากนี้จะเป็นเรื่องการเริ่มใหม่ของบันไดขั้นต่อไปแล้วล่ะ ทุกคนต้องไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองอยากได้ สิ่งที่ตัวเองอยากเป็น ส่วนคำว่าเพื่อนมันก็ยังอยู่ในความทรงจำของกันและกันอยู่ดี ...