หญิงสาวโผเผกลับรังนอนเหมือนนกปีกหัก แต่กลางใจนั้นมีกองเพลิงลุกไหม้ ทั้งไฟแค้น ไฟโศกปะปนกันแทบแยกไม่ออก
การเดินทางแสนยาวนานในความรู้สึกของอลิชาสิ้นสุดลง เธอก้าวลงจากรถประจำทาง เดินก้มหน้าผ่านร้านรวงที่ตั้งขายข้างทาง ตอนที่แดดยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้าพอดี...
“หนูอลิส ไปไหนมาแต่เข้าเลยจ้ะ แต่งตัวสวยเสียด้วยสิ” เพราะแสงตะวันยังไม่ชัดเจนพอ ความร่วงโรยในสีหน้าของอลิชาจึงยังไม่มีใครมองเห็น
หญิงสาวส่ายใบหน้าตอบ รีบเดินจ้ำอ้าว... โดยไม่ได้ปริปากตอบคำถามใคร เธอกลัวว่า... หากปริปากพูด เสียงที่พวกเขาเหล่านั้นได้ยินจะเป็นเสียงสะอื้นแทน...
ประตูรั้วไม้สีขาวโดดเด่นอยู่ตรงหน้า อลิชาสูดลมหายใจลึกๆ เธอรวบรวมความกล้า เพราะทันทีที่เหยียบย่างเข้าไปด้านใน เธอจะต้องเค้นเอาความจริงจากปากฉลวยให้ได้ ป้าของเธอ... ทำแบบนี้กับเธอได้ยังไง...มันเหมือนกับว่าฉลวยต้องการฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น!!
ตึงๆ
เสียงเคาะประตูแรงๆ เพราะความคับแค้นที่อัดแน่นในใจ...
ติ๋มที่เพิ่งเดินผ่านรั้วด้านนอกเข้ามายังได้ยิน สาวใช้สูงวัย เดินไปชะเง้อมอง...หล่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างบางคุ้นตายืนหน้าเคร่งอยู่หน้าห้องนอนนายจ้าง
“หนูอลิสจะไปไหน? แต่งตัวเสียสวยเชียว” นางพึมพำ มองหาซอกหลืบที่จะได้ตั้งตาแอบฟังได้ถนัดๆ เมื่อมองเห็นเค้าลางความวุ่นวายแบบรำไร
ฉลวยสะดุ้งตื่น!! จากการถูกกระชากจากห้วงฝัน หล่อนแหกปากตะโกนเสียงดัง “ใคร!! มาเคาะประตูห้องฉันแต่เช้า อยากตายเหรอไงหะ”
อลิชายกมือปาดน้ำตาที่อาบใบหน้า เธอตอบเสียงเครือ “อลิสเองค่ะป้า...อลิสมีเรื่องจะถาม” เธอยังไม่หยุดเคาะ มือเรียวทุบประตูจนผิวเนื้อแดงก่ำ
“พอๆ หยุดเคาะได้แล้ว มีอะไรล่ะ มาเคาะเรียกฉันแต่เช้า”
ฉลวยตวาดข่ม นางคว้าชุดคลุมมาสวมทับชุดนอน เดินไปเปิดประตูห้องให้หลานสาว ด้วยสีหน้าเฉยเมย
สาวใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นหลานสาวในไส้เต็มตา ขอบตาของอลิชาแดงก่ำ ริมฝีปากเจ่อบวม ผิวกายที่โผล่พ้นเสื้อผ้าเต็มไปด้วยริ้วรอยเล็กๆ ผู้ชายคนนั้นตะกรุมตะกรามไม่ได้ออมแรงสักนิด ย่ำยีเสียจนอลิชายับเยินดูไม่ได้
“ป้าทำอะไรกับอลิสคะ!” เสียงแหบแห้งเอ่ยถาม มันเต็มไปด้วยความเจ็บช้ำที่ปะปนมากับกระแสเสียงนั่น
ฉลวยถอนใจแรงๆ นางเดินผ่านหน้าหลานสาวไปแบบกระชั้นชิด
“ลงไปคุยกันข้างล่าง อย่ามาทำท่าทางกำเริบใส่ฉันนะยะ”
ฉลวยไม่วายข่ม แม้ตัวเองจะผิดเต็มประตู แต่เพื่อความอยู่รอดของตนเอง...ให้เลวร้ายกว่านี้ นางก็จะทำ เมื่ออลิสชาเป็นแค่ ‘หลาน’ เป็นกาฝากของบ้าน หล่อนสมควรตอบแทนบุญคุณ ถึงมันจะเยอะไปสักหน่อย เรื่องแค่นี้เอง...ไม่นานหล่อนก็จะเหมือนเดิม...
หญิงสาวเดินตามติด เธอต้องรู้ความจริงให้ได้
“ฉันไม่อธิบายหรอกนะว่าที่ฉันทำแบบนั้นกับหล่อนเพราะอะไร! แต่ขอให้หล่อนรู้ไว้แม่อลิส... ข้าวปลาที่หล่อนกลืนลงท้องไปน่ะ... เป็นสิ่งที่ฉันใช้เงินซื้อหามาทั้งนั้น และเมื่อฉันเข้าตาจน หล่อนจะตอบแทนฉันมั่งไม่ได้เหรอไงยะ?”
อลิชาอึ้ง คำอธิบายแสนง่าย แต่มันคือความหายนะของเธอ
“ป้าเอาอลิสไปขาย เพื่อเงินงั้นเหรอคะ?” หญิงสาวถามกลับเสียงสั่น
“หึ!” ฉลวยปรายตามอง “แหงสิ อีคุณนายนั่นมันหาลูกค้ามาให้ ฉันเป็นหนี้มันเป็นแสน ไม่เอาหล่อนไปขาย คนที่ตายก็คือฉันนี่” นางยกมือตบอกตุ๊บๆ สีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเอ่ยถึงหนี้สิน
“ป้าก็เลยให้อลิสตอบแทนคุณป้า ด้วยร่างกายของอลิสงั้นเหรอคะ?” เป็นอีกครั้งที่อลิชาย้อนถาม มันเหมือนเธอคิดอะไรไม่ออก
“มันสึกหรอเหรอยะ หล่อนถึงได้มานั่งเสียดมเสียดาย” ฉลวยตวาดแหว ถลึงตาใส่อลิชาซ้ำ
“จะมีครั้งต่อไปอีกหรือเปล่าคะ...” หญิงสาวกลั้นใจถาม เธอโดนย่ำยีเพราะผู้อุปการคุณกำลังเดือดร้อน แต่เธอไม่ต้องการเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำ
“ทำไม!” สาวใหญ่ถามกลับเสียงแข็ง
“ในเมื่ออลิสตอบแทนคุณป้าไปแล้ว ครั้งหน้าป้าคงไม่แก้ปัญหาของป้าด้วยการ ‘ขาย’ อลิสอีกใช่มั้ยคะ?” คำถามแสนซื่อ แต่ฟังแล้วเจ็บร้าวไปทั้งใจ อนาคตของเธอจะไว้ใจใครได้อีก
“มันก็ไม่แน่...” คำตอบที่อลิชาได้ยิน มันทำให้เธอต้องใคร่ครวญใหม่ หากเธอจะยังอยู่ใต้ร่มเงาของ ‘ฉัตรสุวรรณ’ ความปลอดภัยในชีวิตคงไม่มี
หญิงสาวคลานเข่า คอตกกลับห้องพัก น้ำตาไหลรินเหมือนดั่งน้ำฝน กระบอกตาปวดแปลบเพราะวันนี้ทั้งวัน เธอเสียน้ำตาไปจนนับไม่ถ้วน
“เกิดอะไรขึ้น?” ติ๋มเดินมาดักหน้า สาวใช้วัยดึกร้องถามเสียงตกใจ เมื่อหล่อนมองเห็นสภาพของอลิชาเต็มตา “ใครทำอะไรหนูอริส...อีคุณนายนั่นทำอะไรหนู” สิ่งที่ติ๋มได้ยินมันไม่ปะติดปะต่อ เท่าที่พอจะคาดเดาได้ มีบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากที่ตนเองกลับไปบ้าน สองแม่-ลูก นั่นทำบางอย่างกับหญิงสาวตรงหน้า
หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ กัดริมฝีปากล่างจนห้อเลือด กลั้นสะอื้นไว้สุดฤทธิ์ เมื่อไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่องอดสูที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ไม่ต้องมาปิดติ๋มค่ะ...ติ๋มพอจะเดาออก อีคุณนายบนตึกนั่นเดินเข้า เดินออกบ้านเจ้สายหยุดทางเป็นมัน มันเอาหนูอลิสไปขายสิท่า” ติ๋มกล่าวเสียงเคียดแค้น...เจ็บใจที่ช่วยเหลือคนน่าสงสารอย่างอลิสชาไม่ได้ เรื่องมันสายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว
อลิชาผงะ แม้แต่สาวใช้ก้นครัวอย่างติ๋มยังรู้
“ไปเก็บของค่ะ หนูอริสอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วล่ะ มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป อีคุณนายใจดำนั่น คงไม่หยุดง่ายๆ”
มือหยาบกร้านดันแผ่นหลังบอบบางของหญิงสาว เธอกระซิบเสียงแผ่วๆ เพราะกลัวบุคคลที่สามได้ยิน
“อลิสไม่มีที่ไปนะติ๋ม” หญิงสาวท้วง นอกจากฉลวยแล้ว เธอไม่มีใครที่พอจะพึ่งพาได้จริงๆ
“ไม่ต้องกลัวค่ะ หลบไปก่อน เดี๋ยวติ๋มหางานให้ทำเอง... ไปให้พ้นจากบ้านนี้ บุญคุณท่วมหัวที่อีคุณนายมันอ้างอย่าไปนึกถึง... ความระยำที่อีคุณนายมันทำลบล้างหมดแล้วค่ะ”
ถึงไม่ใช่ญาติ แต่เห็นกันมาตั้งหลายปี สิ่งที่ฉลวยและครอบครัวทำกับอลิชา เกินกว่าที่ติ๋มจะรับไหว ถึงเธอจะจนกร็อบ ต้องอาศัยใบบุญบ้านฉัตรสุวรรณ แต่เรื่องระยำตำบอนอย่างนี้ ติ๋มทนนิ่งเฉยไม่ได้จริงๆ
“แต่อลิสจะทำให้ติ๋มเดือดร้อน...”
“อย่าห่วงติ๋มเลย ห่วงตัวหนูอลิสก่อน...ไม่แน่ หากวันหน้าอีคุณนายมันร้อนเงินขึ้นมาอีก หนูอลิสจะโดนเหมือนครั้งนี้”
ติ๋มเดาอนาคต...คนจมไม่ลงอย่างฉลวย คงไม่ปล่อยให้ตนเองเดือดร้อน คนที่ซวยจริงๆ จะเป็นอลิชาเอง หากยังฝืนอยู่ใต้ร่มเงาบ้านหลังนี้ต่อ
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่า ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น หญิงสาวสูดลมหายใจแรงๆ ยกมือปาดคราบน้ำตา ก่อนจะฝืนยิ้มกร่อยๆ อนาคตข้างหน้ามืดมนเสียจนอดหวาดกลัวไม่ได้ จากนี้ไป... แม้แต่หลังคาบ้านก็จะไม่มีคุ้มหัว เมื่อเธอก้าวออกจากบ้านฉัตรสุวรรณ จากนี้ไปคงเหลือแค่ตัวคนเดียว
“ไปเถอะค่ะ ติ๋มมีคนรู้จัก ไปอยู่กับเขาก่อน หลบไปสักพัก รอให้เรื่องมันเงียบๆ ค่อยคิดหาหนทางใหม่”
คนรู้จักติ๋มเป็นคนงานในบ้านของคนมีอันจะกินคนหนึ่ง เขากำลังต้องการคนงาน และบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด คงเป็นที่หลบภัยให้อลิชาเป็นอย่างดี
สิ่งของอันน้อยนิด แค่กระเป๋าใบเล็กๆ ใบเดียวก็เกือบหมด อลิชาลากขาเดินออกจากบ้านที่เติบโตมา เธอรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยว แต่จะให้หันหลังกลับไปอยู่ที่เดิม...เธอคงทำไม่ได้ ความหวาดระแวงนั่นทำให้เธอเชื่อใจคนบ้านนี้ไม่ได้อีกแล้ว...
“รีบไปค่ะ อีคุณนายไม่รู้หรอกว่าติ๋มไม่อยู่ ป่านนี้คงกำลังนอนฝันหวาน”
ติ๋มดันหลังหญิงสาว ต้องแข่งกับเวลา ก่อนที่จะสายไป
น้ำอิงทอดสายตาเอื้ออารีมองหญิงสาวตรงหน้า มีติ๋มและฟักทองนั่งพับเพียบอยู่ใกล้ๆ
“คนนี้เหรอฟักที่บอกว่ากำลังหางานทำ” เจ้าของบ้านสาวถามเสียงเอื้ออาทร
“ค่ะคุณอิง...ญาติของพี่ติ๋ม เพิ่งมาจากบ้านนอกค่ะ”
ฟักทองรีบตอบ เธอขยิบตาให้อลิชา
“ชื่ออะไรล่ะ?”
“อลิสค่ะ...” หญิงสาวชิงตอบ เธอไม่อยากโกหกมากไปกว่านี้
“อืม หน่วยก้านดี หากฟักทองรับรอง ก็มาทำงานที่นี้เถอะ งานไม่หนักหรอก อยู่เป็นเพื่อนกัน...”
น้ำอิงยิ้มรับ เธอรู้สึกถูกชะตากับสีหน้าซื่อๆ ของลูกจ้างคนใหม่
“ขอบคุณค่ะคุณนาย”