ช่องหน้าต่างบานเล็กตาคมเข้มยังแง้มมอง ไม่ไว้วางใจ
ร่างบางเดินเลยเข้าบ้านพักของตัวเอง ปิดประตูไปอย่างเงียบๆ แต่รับรู้ถึงบ้านอีกหลัง ว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีใครมากวนใจเขาอีก จึงหันมาสนใจบาดแผลของตนเองต่อเหมือนทุกๆ ครั้ง แผลที่เกิดขึ้นเขาจะทำเองแผลเอง ไม่หันไปพึ่งหมอ หากทุกอย่างไม่ร้ายแรงเกินไป แอลกอฮอล์ สำสี เบตาดีน วางอยู่ตรงหน้าแล้ว หากไม่มัวเสียเวลากับเรื่องเมื่อกี้เขาคงทำเสร็จไปแล้ว คิดแล้วใบหน้าหวานท่าทางกวนๆ ก็ผุดขึ้นมา ก่อนจะรีบสลัดภาพกวนๆ ทิ้งไป
เบนหันมาสนใจของตรงหน้า ผ้ากอซที่เหลือจัดการพันให้หนาขึ้น หมดครั้งนี้ต้องไปหาซื้อเก็บไว้ให้มากกว่าเดิม... คนรู้ชะตากรรมของตนเองดีคิดวางแผนเอาไว้
สายตาคมวาวจับจ้องของบนโต๊ะ แววตาที่เคยกร้าวทุกสถานการณ์อ่อนแสงลง คำพูดของใครบางคนที่เขาไม่เคยลืมและมันก็แค่บางครั้งที่คำพูดนั้น มันทำให้คนอย่างเข้ารู้สึกท้อ แต่ไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจที่แนวแน่ของคนอย่างเขาลงได้ แต่กลับกันคำพูดนั้นมันยิ่งทำให้ใจแกร่งต้องการเดินหน้าทำหน้าที่ให้สำเร็จ จะเป็นความเอาแต่ใจในความคิดตนเองหรือเพราะบางสิ่งบางอย่างในอดีตก่อนหน้า มันทำให้เขาเริ่มรักงานที่กำลังทำอยู่ เสียงห้ามของคนที่รักหรือด้วยความเป็นห่วงของคนรอบกาย ที่เขาไม่เคยใส่ใจ
‘ได้แผลกลับมาอีกแล้วหรือ?’ ใบหน้าเนียนใสแต่งไว้บางๆ ทรุดนั่งลงข้างๆ ไม่ได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกออกมามากนัก เพราะชินชากับ ชายคนรัก ที่มักกลับมาในสภาพนี้ให้เห็นจนชินตา
‘เล็กน้อย แค่เห็นหน้านีกับลูกผมก็หายเจ็บแล้วละ’ หยอดคำหวานให้ภรรยา พร้อมส่งยิ้มให้ไร้ซึ่งความเจ็บปวดกับแผลบนร่างกาย โดยมือเรียวหนาทำหน้าที่ปฐมพยาบาลให้กับตัวเองไป
ใบหน้าหวานยกยิ้มมุมปาก รู้สึกสมเพชตัวเองที่ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากนั่งมองดูสามีตัวเองที่มีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้น
เมื่ออยู่กันใหม่ๆ หล่อนร้องไห้สงสารและรู้สึกเจ็บปวดแทน ชายคนรัก แต่เดี๋ยวนี้ความรู้สึกนั้นมันหายไปกับความรู้สึกชินชาที่ เกาะกุมหัวใจเธอเสียแล้ว ‘แต่ผิดกับนี สภาพแบบนี้นีทำใจรับไม่ได้ต่อไปแล้วนะ พี่เบนควรคิดถึงลูกและนีบ้าง’ คนหวั่นใจกับอนาคตของลูกและตัวเองเริ่มแสดงอาการออกมา
ดวงตาคมเหลือบมองแผลที่ยังคงมีเลือดซึมออกมาให้เห็น มันเล็กน้อยสำหรับเขา แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้คนอย่างเธอไม่มั่นใจว่าในวันข้างหน้าเธอจะอยู่กันแบบนี้อีกนานแค่ไหน วันนี้แค่รอยแผลเล็กๆ แต่วันข้างหน้าไม่อาจรู้ได้ว่าสามีจะกลับมาในสภาพไหน ที่สำคัญเธอจะรับสภาพเช่นนี้ได้อีกต่อไปหรือไม่!
หากคำพูดนั้นไม่ทำให้เบนติดใจหรือเก็บมาคิด เขาหันมองลูกน้อยที่นอนอยู่ในแปล โดยที่เขารู้ว่าลูกชายมีอายุได้สองเดือนแล้วจากปากของภรรยาที่บอกก่อนหน้าไม่กี่วันที่โทรคุยกัน บางครั้งตัวเขาเองคิดว่าแค่ได้คุยบอกรักกันทางโทรศัพท์นั้นเป็นการดีเสียกว่าการกลับมาแล้วทำให้คนที่รักเป็นทุกข์ และรู้สึกไม่ดีกับสภาพของตนเอง แต่นั่นอาจจะเป็นความคิดของตนฝ่ายเดียว เพราะทุกครั้งที่คุยกัน คำที่พูดคุยมักจะจบลงเมื่อคำตอบที่ว่า ‘งานผมยังไม่เสร็จ’ ‘งั้นแค่นี้นะคะ’ ทุกคำพูดมันฝังอยู่ในความรู้สึก แค่เอื้อนเอ่ยให้รู้ว่ายังมีใจห่วงหากันเท่านั้น
น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่อาจทำให้คนข้างกายฉุกคิด เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตร่วมกันมา คำพูดนี้เธอมักพูดเป็นประจำจนคนอย่างเขาคิดว่ามันคงเป็นเรื่องปรกติหรือเกิดจากความน้อยใจ
การกลับมาบ้านแต่ละครั้ง หลังจากที่หายไปครั้งละนานๆ จนบางครั้งงานที่ทำรัดตัวจนทำให้เขาลืมความจริงที่ว่า ...ชีวิตครอบครัวเป็นอยู่กันอย่างไร แล้วมีใครข้างหลังห่วงใยอยู่หรือเปล่า?
‘วันนี้กลับมาเพราะเสร็จงานหรือเปล่า?’ ภรรยาสาวเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ
‘ยัง... แค่แวะมาดูนีและลูกนะ พรุ่งนี้ก็จะไปต่อ...’ หันมองเมียรักส่งสายตาหวานบอกความต้องการบางอย่าง และนั่นคนเป็นภรรยารู้ความหมายดี ส่งค้อนให้ไป เบนยิ้มรับกับการกระทำของภรรยา แขนแกร่งโอบไหล่บางไว้ ‘ให้ผมนอนกับคุณสักคืนไม่ได้หรือ?’ ยิ้มพราวในหน้า
‘จะกี่คืนนีไม่สนอยู่แล้ว แต่เบนเองต่างหากเลือกที่จะไม่นอน’ เอ่ยเรื่องจริง สีหน้าเง้างอน หนุ่มสาวหากไม่ไว้ใจหรือรักกันจริงคงไม่เหลือความไว้ใจให้แก่กัน
‘ผมขอโทษ แต่งานก็คืองาน ผมทิ้งมันไม่ได้’ สีหน้าถูกปรับให้เป็นไปตามคำพูด
หน้าที่ที่เขาไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง งานที่ทำทุกคนใช่ว่าจะทิ้งกันได้ง่ายๆ หากไม่อยากโดนเสือเล่นงาน เมื่อขี่หลังเสือไปแล้ว ทุกอย่างย่อมจะถอยได้ยากและไม่มีอะไรที่น่ากลัวเท่ากับงานนี้อีกแล้ว
‘พี่เบนไม่ผิด นีต่างหากที่ผิด...’ เสียงหวานเอ่ยได้แค่นั้นก็หยุด รู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น หากแต่ความอดทนหมดเมื่อไหร่ทุกอย่างก็คงจบลง สำหรับทางเลือกที่ต่างคนต่างเลือกเอง
สายตาคมเข้มมองแม่ของลูกนิ่ง คำว่า ‘นีต่างหากที่ผิด’ เขารู้ดีว่าจะตามมาด้วยอะไร แต่ทำเป็นไม่สนใจคำพูดนั้น ความรู้สึกเห็นใจมีอยู่เต็มอกสำหรับลูกเมีย แต่เขาไม่อาจทำในสิ่งที่คนข้างกายขอได้