เส้นทางและความรู้สึก 1

1060 Words
   ‘พี่เบนไม่ผิด นีต่างหากที่ผิด...’ คำพูดประโยคสุดท้ายที่ตัวเขาไม่คิดว่าจะไม่ได้ยินมันอีก เพราะคนที่พูดไว้ได้ทิ้งหัวใจของเขาที่มอบให้ ไว้กับลูก ไม่มีคำถามไม่มีการเสาะหาคำตอบ ทุกอย่างมันอยู่ในตัวของมันเอง และมันเป็นคำตอบที่เขาเองคิดว่าไม่จำเป็นต้องหา เมื่อเขารู้ดีว่ามันคือสิ่งใด ที่เธอหนีเขาไป เขาย่อมให้สิทธิ์ในการตัดสินใจอย่างไม่มีข้อบังคับ แม้สิ่งนั้นจะทำให้เขาเองเจ็บเจียนตาย มันเจ็บยิ่งกว่าคมมีด รอยหมัดและเท้าของชายฉกรรจ์นับสิบคนที่รุมกระทืบลงมาบนร่างกายเขาเสียอีก   น้ำเม็ดใสคลอหน่วยตา ใบหน้าคมแหงนมองฝาเพดานไม่ยอมให้สิ่งนั้นไหลออกมา เพราะนั่นมันจะหมายถึงความอ่อนแอที่เขายังตัดไม่ขาด พยายามกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ ทำใจให้ลืมความเจ็บปวดไว้แค่ความทรงจำในอดีตให้จมดินลงไปเสียสิ้น แค่วันนี้เขาทำให้ดีที่สุด เชื่อว่าพระเจ้าคงไม่โหดร้ายกับคนเลวๆ อย่างเขาจนเกินไป เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย ตอนนี้เขาอยากเอนหลังเต็มแก่ เพราะหลังจากที่คิดว่าเมื่อออกไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วจะกลับมานอนเอาแรง แต่กินก๋วยเตี๋ยวไม่ทันหมดจาน สายเรียกเข้าจากเบื้องสูงก็ดังให้ตกใจ สิ่งที่หมายมาดไว้จึงถูกเก็บเอาไว้ก่อน งานที่ถูกสั่งด่วน จำเป็นต้องรีบไปทำให้เสร็จ “เฮ้อ...” ลมหายในถูกผ่อนออกมาหลายครั้งในเกือบชั่วโมงที่ผ่านมา ด้วยความสมเพชตัวเอง               อยากเอนหลังเต็มที กินก็กินไม่เป็นเวลา รึจะหาเวลาพักผ่อนให้เป็นเวลาของตัวเอง กำหนดไม่มี  ก็คนอยู่อย่างจำกัดเวลาชีวิต...! แผ่นหลังวางราบไปกับเก้าอี้ตัวยาว มือหนาตั้งเกยบนหน้าผาก มืออีกข้างวางไว้บนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ลมหายใจผ่อนออกมาหนักๆ ความคิดมากมายสุมอยู่ในหัว หากว่างๆ เหมือนเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะอยู่ในมุมเมืองไหน ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร หากขึ้นชื่อว่ามนุษย์ คงไม่พ้นกับความคิดมากมายผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด แต่หากเมื่อถึงเวลางานทุกอย่างก็ถูกเก็บสิ้น ทำไมต้องคิดว่าตัวเองเป็นคนถูกจำกัดชีวิต... ก็เพราะทุกอย่างแค่มีคำสั่ง สิ่งที่เดินหน้าคือความเสี่ยงที่มาพร้อมกับความผิดพลาด  หากแค่ผิดพลาดอาจทำให้ความตายก็มาเยือน ชีวิตที่ถูกจำกัด ด้วยเวลาของงาน!                      ก๊อกก๊อก... ดวงตาดำคมเข้มที่อยู่ภายใต้เปลือกตากลอกไปมา ใบหูที่ราบไปกับเข้าอี้ถูกขยับด้วยเจ้าของ รับฟังเสียงที่อยู่ด้านนอก ร่างหนายังคงไม่ขยับ แต่รับรู้และมองเห็นด้วยการสัมผัสเสียงการเคลื่อนไหวของบุคคลภายนอก คิ้วหนาขมวดนูนอย่างใช้ความคิด หากเป็นเวลานี้เพื่อนรวมงานไม่เคยมีใครมาหา หากไม่บอกกล่าวมาก่อนล่วงหน้า... “คุณ คุณ เปิดประตูหน่อยสิ” ชลิดาตัดสินใจส่งเสียงเข้าไป เมื่อตัดสินใจดีแล้ว  เบนจามินดีดตัวลุกขึ้น ความรีบทำเอาต้องร้องครางออกมาอย่างลืมตัว “โอย! ซีดดด...” ปรับสีหน้าบิดเบี้ยว พ่นลมหายใจเพื่อคลายความปวดที่ขยับผิดท่าเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปยังประตู คิ้วหนานูนสูงยับย่นด้วยความ    แปลกใจมากกว่าเก่า จะมาเอาอะไรอีกตอนนี้?... เบนคิดอย่างหวั่นๆ “คุณ... เป็นอะไรมากหรือเปล่า เปิดประตูให้หน่อยสิ” เธอ       ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง เพราะเสียงภายในห้องนั้นแม้จะเป็นแค่คำสั้นๆ แต่มันก็เล็ดลอดออกมาภายนอกชัดเจน น้ำเสียงที่เรียกดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เบนจามินรู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้น เขาไม่อยากสนใจเสียงเรียกนั้น ไม่อยากรู้จักและสนิทกับใคร แต่ดูเหมือนความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยตอนนี้ พูดง่ายๆ มันไม่ได้ดั่งใจคิดสักอย่าง ณ เวลานี้! เบนไม่คิดจะเปิดประตูออกไปด้านนอก ไม่สนใจว่าหล่อนจะมีเรื่องเดือดร้อนอะไรยามนี้ แต่ตัดสินใจคว้าหมอน เพื่อเตรียมตัวย้ายที่นอนกลับไปยังห้องนอนของตน เพราะคนอย่างเขาไม่มีการผูกมิตรในเวลางาน                                                                                                              แต่เท้าหนาที่ก้าวไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อมันไม่ได้เป็นแค่เสียงเรียกแต่มันเป็นเสียงเคาะประตูดังมาแทนเสียงหวานเมื่อกี้ แล้วมันก็ดังดีเสียด้วย ของที่ถูกหยิบขึ้นมาถูกวางกลับไว้ที่เดิม ถอดใจ กับเสียงเคาะประตูนั้นและวกกลับมาเปิดให้อย่างจำยอม โดยไม่ลืมก้มหยิบแว่นติดมือมาด้วย “คุ...!” มือเรียวยกค้างง้างกลางอากาศ พร้อมกับคำเรียกที่ยังค้างอยู่ปลายริมฝีปากบางอมชมพู อีกฝ่ายเหมือนจะเอนหน้าหนีกำปั่นเล็กๆ เหมือนกลัวว่าหากไม่หยุดเคาะ กำปั้นนั้นจะลงมาบนหน้าเขา ใบหน้าที่ปกปิดด้วยแว่นดำโผล่ออกมา มันเกือบทำให้หล่อนตกใจ แต่นึกได้ว่าหล่อนก็เคยเห็นมาก่อนหน้าแล้ว แค่ทำให้มันชินกับสายตาเท่านั้น ชลิดาสงสัยนักว่าเขามีปัญหาทางสายตาหรือเปล่า... แต่ก็ได้แค่คิด มันคงจะเป็นการชินกับการสวมใส่แว่นขณะอยู่ในบ้าน กรอบหน้าที่ยังคงไร้อารมณ์เช่นเดิมมองหล่อนนิ่ง ไม่มีคำถาม แต่สายตาคมเข้มมันทำให้ชลิดารีบยกของในมือให้ชายหนุ่มไปตรงๆ คิ้วหน้านูนสูงเป็นคำถาม มองใบหน้าหวานเต็มตาเมื่อไม่มีหมวกใบเล็กปิดบังใบหน้าไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆของแป้งเด็กที่เขาเคยคุ้นชินเมื่อไม่นาน หอมโชยแตะจมูก จนเขาเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด แป้งที่ตบไว้บางๆ เสริมให้ใบหน้าดูอ่อนละมุนกว่าเดิม และมันเป็นเรื่องที่ผู้ชายอย่างเขาต้องคิด และประเมินผู้หญิงตรงหน้าเสียใหม่ ผิวพรรณที่ดูดี บวกกับหน้าตาที่ไร้ที่ติ มาอยู่ในที่แบบนี้คนเดียวได้อย่างไร?... “ฉัน...คือ... เอาข้าวมาให้...” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD