EP.03

1078 Words
       เสียงพระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุลดังผ่านเครื่องขยายเสียงของทางวัด ทำให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรู้โดยอัตโนมัติว่า ร่างอันไร้วิญญาณในศาลาใดกำลังจะถูกฌาปนกิจ ณ เวลา 16:00 น. ของวันนี้ เนื่องจากวัดในสมัยใหม่นิยมสร้างศาลาสวดศพให้อยู่รายรอบเมรุ เพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณขึ้นสู่สถานที่อันจะทำให้ร่างนั้นกลับคืนสู่ธรรมชาติได้อย่างแท้จริง            ดังนั้นการตั้งศพเพื่อสวดพระอภิธรรมจึงอาจมีมากกว่าหนึ่งร่างในแต่ละค่ำคืน ทว่าจะมีเพียงร่างเดียวเท่านั้นที่จะทำการฌาปนกิจในแต่ละวัน เพราะพิธีการแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาและต้องทำให้ถูกต้อง กว่าจะส่งร่างนั้นไปสู่เส้นทางอันสุคติได้สำเร็จ ย่อมกินเวลาตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงค่อนดึก            ผ้าลูกไม้สีขาวผืนบางคลุมทับโลงไม้ไว้อีกชั้นนั้น เพื่อให้ลวดลายอ่อนหวานช่วยลดทอนความโศกเศร้าจากผู้พบเห็น และเพื่อแสดงออกว่าผู้วายชนม์เดินทางไปสู่สถานที่ที่มีความสุขแล้ว ทว่าเมื่อมาอยู่รวมกับดอกไม้ช่อยาวสีขาวที่นำมาประดับโดยรอบแล้วนั้น กลิ่นหอมจัดจนฉุนกลับทำให้บรรยากาศอวมงคลเด่นชัดมากขึ้น เพราะนั่นคือ ‘ซ่อนกลิ่น’ ดอกไม้ที่ใช้ซ่อนร่างไร้วิญญาณ            ท่วงทำนองจากเครื่องดนตรีไทยบรรเลงเพลงโศกคลอไปกับเสียงบทสวดภาษาบาลีที่คุ้นเคย เพราะได้ฟังมามากหนเมื่อครั้งเคยมาร่วมแสดงความเสียใจแก่ญาติพี่น้องของผู้วายชนม์ ทว่าในครั้งนี้เมื่อเธออยู่ในสถานะนั้นเสียเอง จึงไม่อาจเก็บกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ได้            น้ำตาที่พยายามฝืนกลั้นเอาไว้ปิ่มจะไหลลงมาเสียให้ได้ แต่ก็จำต้องสะกดไว้เพราะไม่อยากให้คนที่จากไปเป็นห่วง เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอจะทำให้แม่ได้ก็คือ ‘ต้องเข้มแข็ง’                        ดวงตาบอบช้ำมีวาวน้ำตาฉ่ำชื้นอยู่ตลอดเวลาทอดมองไปยังโลงไม้ที่ตั้งสงบนิ่งอยู่บนตั่งด้านในศาลา ดั่งจะบอกกับคนที่นอนนิ่งอยู่ในนั้นว่าเธอคิดถึงเหลือเกิน            ‘จันทร์...อย่าเสียใจให้นานนักนะลูก ทุกคนต้องตายทั้งนั้น ไม่ใช่แค่แม่หรอก หนูต้องอยู่ให้ได้ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี จะทำอะไรก็ให้คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน แล้วสิ่งที่หนูตัดสินใจก็จะดีที่สุด’            น้ำตาท่วมท้นเมื่อช้อนมองใบหน้าสวยงามของผู้เป็นแม่ที่ปรากฏอยู่ในกรอบรูปหน้าศพ รอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นแม่มีให้เธอเสมอมา เธอรู้และเข้าใจในสิ่งที่แม่บอกว่าทุกคนล้วนต้องตาย แค่ช้าหรือเร็วกว่ากันเท่านั้น เพียงแต่เธออยากให้แม่อยู่ได้นานกว่านี้ อย่างน้อยก็ให้เธอได้มีงานทำเสียก่อน ให้เธอได้เลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณของแม่บ้าง ไม่ใช่เพียงเธอเรียนจบแม่ก็จากไป            “เสร็จหรือยังล่ะจันทร์ พระท่านสวดเสร็จแล้วนะ”            พรบุหลัน กัษษากร ตื่นจากภวังค์ หันมองรอบกายแล้วก็พบว่าพระท่านสวดเสร็จแล้วจริงๆ และเมื่อหันมาพบกับสายตาเอื้ออารีของคนข้างๆ ก็ฝืนหยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็รีบปาดทิ้งเสียเร็วไว ก่อนจะส่งรอยยิ้มเนือยๆ พร้อมตอบคำถามนั้น            “ค่ะพี่กร เสร็จแล้วค่ะ”            พรบุหลันเลื่อนถาดใส่ดอกไม้ธูปเทียนพร้อมทั้งพุ่มเครื่องไทยธรรมมาตรงหน้าเพื่อเตรียมส่งมอบให้ ภากร เพื่อนบ้านที่มีอาชีพเป็นคุณครูในโรงเรียนประถมใกล้บ้าน ซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่แม่ของเธอสอนอยู่ และก็ได้ภากรนี่ละที่ช่วยจัดการทุกอย่างให้เมื่อแม่ตาย ตั้งแต่พาแม่ออกจากโรงพยาบาลมาที่วัด ดูแลประสานงานกับทางวัด ทั้งการสวดพระอภิธรรม ตลอดจนถึงงานฌาปนกิจในวันนี้ เพราะเธอเองไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีก ชีวิตนี้มีแต่แม่เท่านั้นที่เป็นญาติสนิทเพียงคนเดียว ทั้งคนมาร่วมงานก็เป็นเพื่อนบ้านที่มีน้ำใจคอยช่วยกันดูแลยามเจ็บป่วย คุณครู และนักเรียนที่แม่เคยสอนมา            “จันทร์ เข้มแข็งนะ จันทร์ต้องส่งแม่ให้ถึงฝั่ง”                “ค่ะพี่กร จันทร์จะทำให้ดีที่สุด”            ภากรมองตามร่างงามระหงที่เดินถือถาดดอกไม้ธูปเทียนไปให้แขกที่มาร่วมงานได้ ‘จบของ’ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้วายชนม์ เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่พยายามเก็บกลั้นน้ำตาไว้อย่างที่สุดแล้วทำให้ภากรสงสารเธอจับใจ เพราะความรู้สึกยามขาดร่มโพธิ์ร่มไทรนั้นเขาผ่านมาแล้ว แต่เขายังดีที่มีญาติพี่น้องอยู่รายล้อม ขณะที่พรบุหลันไม่มีใครเลย            เขารู้เพียงว่า ครูรัชนีกร แม่ของเธอก็เป็นคนในหมู่บ้านนี้เช่นกัน แต่ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่ยังรุ่นสาว ญาติพี่น้องที่มีอยู่ก็ทยอยตายจาก หรือไม่ก็ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ดังนั้นคนที่จะนับได้ว่าเป็นญาติสนิทกันจริงๆ และอยู่ในละแวกใกล้จึงไม่มีเลย            และเมื่อครูรัชนีกรขอย้ายกลับมาสอนที่โรงเรียนในบ้านเกิด เธอก็มีลูกสาวที่ชื่อว่าพรบุหลันกลับมาด้วย เนื่องจากบ้านของเขาและบ้านของครูรัชนีกรอยู่ติดกัน การช่วยเหลือเกื้อกูลจึงไม่ต่างจากญาติพี่น้อง และทั้งหมดที่เขาทำลงไปนั้นเขาก็เต็มใจ และก็หวังอย่างที่สุดว่า สักวันหนึ่งพรบุหลันจะมองเห็นหัวใจของเขาบ้าง            เสียงเครื่องดนตรีไทยบรรเลงท่วงทำนองแสนเศร้า ดังชัดเจนออกมาจากเครื่องขยายเสียงของทางวัด จนแทรกเข้ามาภายในรถยุโรปคันหรูที่จอดนิ่งอยู่นอกศาลา แต่คนที่นั่งนิ่งตีสีหน้าเรียบเฉยอยู่นี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะก้าวลงไป            ่ดวงตาคมเข้มมองตรงไปข้างหน้าเพื่อมองภาพบรรยากาศของงาน ‘ขาว-ดำ’ แม้เขาจะไม่เคยไปงานศพใครในเมืองไทยมาก่อน แต่เท่าที่มองดูก็เห็นความหดหู่และเศร้าใจไม่ต่างจากงานฝังศพของญาติทางฝ่ายบิดาที่อังกฤษสักเท่าไร และที่ต้องมาในวันนี้ก็เพราะคำร้องขอของแม่            ‘ไปอโหสิกรรมให้เขานะลูก จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก’
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD