คืนนั้นมินตราแทบไม่ได้นอน เธอนั่งคิดเรื่องเขาจนฟ้าสว่าง ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวกลับไปที่โรงพยาบาลอีกรอบ ผอ. นวลฉวีกับโตมรยืนอยู่หน้าห้องปลอดเชื้อ เตชิณอยู่ในนั้น มีสายอะไรต่อมิอะไรห้อยร้อยตัวเขาเต็มไปหมด
“ได้นอนบ้างไหมมิน” คนที่ยืนอยู่ข้างกัน ถามไถ่ด้วยห่วงใย
“ไม่ค่ะ พี่ล่ะ ได้นอนบ้างไหม”
“อือ...นอนในรถตอนกลับมาจากโรงพักน่ะ พาคุณป้าไปแจ้งความ”
“ขอให้จับคนร้ายได้นะคะ ขอให้พี่เตปลอดภัยด้วย”
นั่นคือคำภาวนาของคนที่กำลังทรมานไม่แพ้คนที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย และไม่กี่วันหลังจากนั้น เตชิณก็ฟื้นขึ้นมา เขาถูกย้ายออกจากห้องปลอดเชื้อ การผ่าตัดเลือดที่คั่งในสมองผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่หมอยังไม่ให้คนนอกเข้าเยี่ยม มีคนที่เข้าไปดูเขาได้แค่แม่เขาเท่านั้น เธอรู้อาการเขาผ่านเฮียโต ที่ไปถามแม่เขามาอีกที มันเป็นช่วงเวลาที่เธออึดอัดและทรมานมากๆ เธอไม่ได้คุยกับเขา ไม่ได้ยินเสียงเขา และไม่รู้ว่าเขาถามหาเธอหรือเปล่า ถ้าเขาถามหาเธอแล้วแม่เขาบอกว่าเธอไม่ได้มาล่ะ เขาจะรู้สึกยังไง
อาทิตย์ถัดมา
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เธอมาแต่เช้า มานั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ของชั้นเจ็ด ชั้น VIP ที่คนอย่างเธอผ่านประตูกระจกเข้าไปไม่ได้ ต้องให้คนที่ได้รับอนุญาตพาเข้าไป เธอเลยนั่งรอโตมร ด้วยหวังว่าเขาจะช่วยพาเธอเข้าไป
ครืดๆ ครืดๆ
สมาร์ตโฟนเครื่องเก่าเก็บที่ยังพอใช้งานได้ สั่นครืดๆ อยู่ในมือ เธอนึกว่าโตมรโทรมา แต่ไม่ใช่ แม่ของเธอเอง ไม่อยากรับสักนิด แต่อีกฝ่ายโทรจิกจนเธอรู้เลยว่าต้องมีเรื่องแน่ เธอปัดหน้าจอเพื่อรับสาย และเสียงแวดๆ ของแม่ก็ดังเข้าหูทันที
‘นังมิน! แกอยู่ไหน ฉันอยู่หน้าคอนโดฯ แกเนี่ย’
“แม่ไปทำอะไรที่นั่น อย่าเข้าไปนะ แม่เข้าไปไม่ได้”
‘ไม่อยากให้ฉันบุกขึ้นไปก็ลงมาสิวะ! ฉันมีเรื่องจะปรึกษาเนี่ย’
“ปรึกษาเหรอ แม่พูดมาเลยเถอะว่าเท่าไหร่ มินต้องหาเงินเท่าไหร่”
คนเป็นลูกย้อนมารดาอย่างเหนื่อยใจ แม่จะรู้บ้างไหมว่าเธอกำลังรู้สึกแย่ เตชิณยังอยู่โรงพยาบาล เธอยังไม่วางใจอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะเห็นกับตาว่าเขาปลอดภัย
‘พี่แกกับผัวฉันมันหาเรื่องน่ะสิ โดนจับย***า’
“ว่าไงนะ!”
‘นั่นแหละ หาเงินมาให้ฉันประกันตัวพวกมันหน่อย ไม่ใช่ผู้ขายหรอก แค่ผู้เสพเฉยๆ ฉี่ม่วงน่ะ’
มินตราอยากจะบ้าตาย นี่หรือเรื่องที่ทำให้แม่ถึงกับบุกไปหาเธอที่คอนโดฯ ทำไมถึงขยันหาแต่เรื่องนักนะ
“พี่อยู่โรงพักแล้วใช่ไหมแม่”
‘ใช่ แกรีบหาเงินมาเร็วเข้า ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว!’
“มินต่างหากที่ควรจะเป็นบ้า ไม่ใช่แม่ ทำไมหาแต่เรื่องให้มินล่ะ มินไม่ได้รวยนะ! แม่ก็รู้ว่ามินไม่มี!”
‘แกมี! คุณเตอะไรนั่น ที่แกไปอยู่กับเขาน่ะ บอกเขาให้หาให้หน่อย แค่สองแสนเองมิน แค่สองแสน แล้วฉันจะรีบหามาคืน’
ความต้องการของมารดาทำเอามินตราละอายใจ ทำไมแม่กล้าพูดแบบนี้ ทำไมต้องโยนความลำบากใจมาให้เธอ
“ทำไมแม่ต้องทำกับมินอย่างนี้! แม่ไม่เคยถามด้วยซ้ำว่ามินกินอยู่ยังไง มีเงินพอใช้ไหม มีเรื่องอะไรที่ทำให้มินไม่สบายใจหรือเปล่า โทรหามินทีก็มีแต่เรื่องเงิน”
‘อะไรวะนังนี่! อย่ามาดราม่าใส่ฉันนะ น่ารำคาญ! รีบๆ หามาเลย ก่อนที่เขาจะเอาพี่แกเข้าคุก’
“ฉี่ม่วงยังไงก็ต้องเข้าคุกอยู่ดีแม่!”
‘ฉันมีวิธีของฉันละน่า ยัดเงินให้พวกตำรวจซะก็หมดเรื่อง ไปหาเงินมาก็พอ เร็วๆ ฉันต้องได้เงินภายในวันนี้ ก่อนบ่ายสอง ฉันจะรอที่โรงพัก ถ้าแกไม่มา ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่!’
“แม่คะ!?”
‘อย่ามาตะโกนแวดๆ ใส่ฉันได้ไหม ไปหาเงินสิมิน ไปหามา!’
“ถ้าไม่มีเงินสองแสนไปให้แม่ แม่จะตัดแม่ตัดลูกกับมินเลยเหรอ ไม่รักมินบ้างเหรอแม่ มินก็ลูกแม่เหมือนกันนะ” ถามไปใจก็เจ็บ มือบางปาดน้ำตาป้อยๆ
‘แกอย่ามาถามหาความรักไร้สาระได้ไหม! มันใช่เวลามาถามเรื่องนี้เหรอ นี่! ฉันร้อนใจจะตายอยู่แล้ว ทั้งลูกทั้งผัว หาแต่เรื่องมาให้’
“มินไม่เคยนะ สักเรื่องเดียวก็ไม่เคยทำให้แม่ลำบากใจ แล้วทำไมถึงไม่รักมินบ้าง ทำไมเวลามีเรื่องอะไร ต้องให้มินรับผิดชอบทั้งที่มินก็อยู่เฉยๆ มินไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
‘เพราะแกยังเป็นลูกฉันไง เพราะแกเป็นลูกฉัน เวลาฉันมีปัญหา ฉันถึงโทรหาแก’
“แล้วถ้ามินไม่อยากเป็นลูกแม่แล้วล่ะ เป็นลูกแม่น่ะ...มันเหนื่อยมากเลยรู้ไหม...” เสียงสั่นๆ ตัดพ้อมารดาตามสายไป เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจมันหนักหนานัก
‘หน็อย...นังลูกปากดี! ถ้าไม่อยากเป็นลูกฉันก็ไปหาเงินมาสิ! เอาเงินมาแล้วจะไปเป็นลูกเหี้ยลูกหมาที่ไหนก็ไป!’
“แม่!?”
ตู๊ดดด...
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเกิดมาชาติหนึ่งต้องมาเจอแบบนี้ ถ้าเธอไม่มีส่วนดี เธอจะไม่เสียใจเลย แต่นี่ ตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยทำให้แม่เสียใจ เธอเรียนเก่ง เธอหาเงินได้ เธอไม่เคยรบกวนอะไรแม่เลย นอกจากความรัก เธออยากรบกวนแม่สักนิด ช่วยรักเธอสักหน่อย สักเศษเสี้ยวที่แม่รักพี่ๆ ก็ได้ เธอไม่หวังให้แม่มากอดมาหอมเหมือนที่แม่ทำกับพี่ชาย แค่พูดดีๆ กับเธอบ้าง ไม่ใช่คอยเอาแต่ด่าแต่ว่าแม้แต่ในตอนที่อยากได้เงินจากเธอ
“อยู่ต่อไปแบบเด็กกำพร้า มันก็ไม่แย่หรอกมิน เชื่อสิ มันไม่แย่หรอก” บอกตัวเองแล้วหย่อนสมาร์ตโฟนลงในกระเป๋าผ้า เพียรสูดน้ำมูกเช็ดน้ำตา พวกพยาบาลที่เคาน์เตอร์พากันมองเธอ เธอก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนไป
“มิน”
เสียงอบอุ่นของคนที่เป็นเหมือนพี่ชาย ดังมาจากลิฟต์ตัวที่เพิ่งเปิดอ้าออก โตมรเดินตรงมาหาเธอ ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่พอเห็นหน้าเธอ ความสดใสในแววตาเขา มันก็หายไป