“หึหึ หากใครขวางทางข้าคนผู้นั้นย่อมไม่ตายดี แต่ยามนี้เรามีกันเพียงสองคนและข้ายังไม่มีอาวุธเลยสักอย่าง ทั้งยังไม่รู้พละกำลังของตนเองเมื่อเข้าร่างนี้ ฉะนั้นการหลบหนีออกไปเงียบๆคงจะสะดวกกว่า”
จางเย่วชิงไม่ใช่คนโง่ที่จะดันทุรังทำในสิ่งที่นางอาจจะพ่ายแพ้ เนื่องจากยังไม่รู้ศักยภาพของร่างกายใหม่ในภพนี้ ดังนั้นนางจึงเลี่ยงที่จะปะทะด้านฝีมือกับคนในยุคนี้ คงต้องงัดเอาวิชาปลอมตัวที่นางถนัดมาใช้เพื่อการหลบหนีโดยเฉพาะ
“หากท่านมั่นใจข้าก็พร้อมจะเดินทางไปกับท่านทุกที่เจ้าค่ะ” จูลี่เห็นแววตามั่นใจในตัวเองของคุณหนูคนใหม่ก็คลายความกังวลไปได้หลายส่วน
“จูลี่ หนังสือหย่าของคนที่นี่หาได้จากที่ใด ข้าเดินทางมาจากที่ห่างไกลยังไม่ค่อยเข้าใจในบางเรื่องของคนในเมืองนี้ ถึงจะมีความทรงจำของคุณหนูของเจ้าแต่นางก็หารู้ได้เช่นกัน เพราะนางขาดเขลาเกินกว่าที่จะขอหย่าร้างกับสวามีไร้ใจผู้นั้น”
น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงน่าเชื่อถือ เอ่ยถามสาวใช้คนสนิทที่น่าจะรู้เรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้าง เพราะเรื่องหย่าเป็นเรื่องสำคัญที่นางต้องจัดการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะหลบหนีออกไปจากตำหนักร้างทรุดโทรมแห่งนี้
“คนที่นี่จะเขียนหนังสือหย่าขึ้นมาเองเจ้าค่ะ เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างลงลายมือชื่อเรียบร้อยแล้วจะนำไปยื่นที่ศาลาว่าการของเมืองที่ตนเองอาศัยอยู่ แต่คุณหนูของข้านางมิได้ร่ำเรียนตำรา เพราะบิดาไม่ได้ใส่ใจนางมาตั้งแต่อายุเพียง5หนาว คุณหนูจึงเขียนและอ่านหนังสือมิได้เลย เป็นเช่นนี้แล้วพวกเราจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
จูลี่เอ่ยออกมาเสียงเศร้าเมื่อนึกถึงปัญหาใหญ่เกี่ยวกับจางเย่วชิง ทั้งๆที่นางพึ่งจะดีใจที่คุณหนูคนใหม่กำลังจะหย่าขาดจากพระสวามีใจร้ายผู้นั้นแล้วแท้ๆ
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล ข้าอ่านตำราออกและเขียนได้หลากหลายภาษา ไม่เว้นแม้แต่ภาษาของคนในเมืองนี้”
จางเย่วชิงนางเห็นในความทรงจำของร่างเดิม ก็รับรู้ได้ทันทีว่าที่นี่คือยุคจีนโบราณในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งนางนั้นมีความรู้ความสามารถทางด้านการเขียนอ่านพู่กันจีนโบราณอยู่แล้ว จึงไม่มีสิ่งใดต้องเป็นกังวล
ชีวิตของสายลับมือหนึ่งในองค์กรระดับโลก ย่อมวนเวียนอยู่กับการฝึกฝนในทุกๆด้าน เพื่อความแนบเนียนในการแฝงตัวไปปฏิบัติภารกิจลับขององค์กร ซึ่งศาสตร์และศิลป์ของสตรีในยุคจีนโบราณ นางก็ร่ำเรียนจนจบมาหลากหลายหลักสูตร และนำไปปฏิบัติหน้าที่จนนับได้ว่าเป็นหนึ่งในองค์กรก็ว่าได้
“ดียิ่งเจ้าค่ะ เอ่อ!!คุณหนูเจ้าคะ แล้วยามนี้พวกเราจะกินสิ่งใดเป็นอาหาร หากท่านไม่ให้ข้าไปนำอาหารมาจากโรงครัวของตำหนักใหญ่”
น้ำเสียงวิตกกังวลของสาวใช้คนสนิท ทำให้จางเย่วชิงต้องหันมาให้ความสำคัญเรื่องปากท้องเป็นอันดับแรกก่อนที่จะคิดการอื่นต่อไป
“คืนนี้คงต้องทนหิวไปก่อน เจ้ากับข้าคงต้องจิบน้ำต้มดื่มประทังชีวิต พรุ่งนี้เช้ามืดข้าจะออกไปหาซื้ออาหารจากตลาดในเมืองหลวงด้วยตนเอง เจ้าอยู่รอที่นี่ไม่ต้องติดตามไปเพราะข้าจะสวมชุดของเจ้าออกไปจากตำหนักแล้วสวมผ้าปกคลุมใบหน้า และตั้งใจจะออกไปขายหยกของท่านแม่ด้วยเสียเลย”
“เจ้าค่ะ คุณหนูต้องระมัดระวังตนเองให้ดีนะเจ้าคะ คนที่นี่นิสัยใจคออาจจะไม่เหมือนคนจากที่ที่ท่านจากมา”
“อืมข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนอนพักสักหน่อยเถิดไม่ต้องเป็นห่วงคุณหนูของเจ้า อาการของร่างนี้นับว่าถูกถอนพิษด้วยตนเองจนหมดสิ้นแล้วช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง”
จางเย่วชิงที่ได้รับรู้เรื่องอัศจรรย์เกี่ยวกับร่างกายของตนเองก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ นางมีความรู้เรื่องยาเป็นอย่างดี จึงรับรู้ได้ว่าร่างกายนี้ถูกถอนพิษออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
“เจ้าค่ะคุณหนู”
รุ่งเช้ามาเยือน หลังจากนำชุดของสาวใช้มาสวมใส่และสวมผ้าสามเหลี่ยมปกปิดใบหน้าแล้วเสร็จ จางเย่วชิงจึงตั้งใจที่จะแอบหลบหนีออกไปทางกำแพงที่ทรุดโทรมท้ายตำหนักชินอ๋อง
นางเห็นจากความทรงจำร่างเดิมว่าท้ายตำหนักมีทางให้มุดลอดออกไปด้านนอกได้ และจางเย่วชิงคนเดิมก็เคยแอบหลบหนีออกไปอยู่บ้าง เนื่องจากบริเวณท้ายตำหนักไร้ซึ่งเวรยามจากทหาร จึงไม่มีอุปสรรคใดๆในการหลบหนีของนาง
ซึ่งอันที่จริงแล้วบ่าวไพร่ในตำหนักชินอ๋อง ก็มิเคยมีใครพบเห็นใบหน้าของพระชายาเอกจางเย่วชิงอยู่แล้ว เพราะเวลาที่จางเย่วชิงออกไปข้างนอกตำหนักร้าง นางจะสวมผ้าปกคลุมใบหน้าไว้อยู่เสมอ
สาเหตุมาจากน้องสาวต่างมารดาเคยบอกว่าใบหน้าของนางอัปลักษณ์ เมื่อครั้งที่พบเจอกันตอนอายุได้8หนาว ถึงแม้จูลี่จะช่วยพูดแก้ไขความเข้าใจผิดๆ แต่จางเย่วชิงคนเดิมก็เลือกที่จะสวมใส่ผ้าปกคลุมใบหน้าเอาไว้ตามเดิมเพื่อความสบายใจ
มีเพียงวันนั้น วันที่นางหลบหนีออกไปเที่ยวในตลาดคนเดียวเมื่อครั้งอายุ14ปี นางถูกสตรีวัยใกล้เคียงกันกลั่นแกล้งกระชากผ้าคลุมใบหน้าให้หลุดออก จึงมีผู้คนมากมายที่สัญจรไปมาอยู่ไม่ไกลจากตลาด ได้พบเห็นใบหน้าของนางแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นผ้าคลุมที่หลุดออกก็ถูกนำมาสวมใส่ไว้ดังเดิม
แม้กระทั่งพระสวามีใจร้ายผู้นั้น ก็ยังไม่เคยพบเห็นใบหน้าของพระชายาที่เขารังเกียจ มีแต่นางฝ่ายเดียวที่เคยพบเจอเขาเมื่อครั้งที่หลบหนีออกไปเที่ยวตลาดในครานั้น
จางเย่วชิงรู้สึกชอบพอในตัวบุรุษผู้นั้นเมื่อได้รับรู้ว่านางต้องแต่งให้เขา จางเย่วชิงคนเดิมก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจอยู่หลายวันเลยทีเดียว
ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุอันใดให้เป็นกังวล หากจะมีผู้ใดพบเห็นนางใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกตำหนักแห่งนี้ แม้กระทั่งบิดาบังเกิดเกล้าเสนาบดีจางเนี่ยนเจินผู้นั้น คงจะจดจำใบหน้าของบุตรสาวแสนชังมิได้เสียด้วยซ้ำ
เพราะจางเย่วชิงหลบซ่อนตัวตนอยู่แต่ในเรือนท้ายตระกูล ยิ่งหลังจากที่นางเติบโตขึ้นมาก็ไม่เคยออกมาพบปะกับผู้ใดในจวนอีกเลย และคนในจวนตระกูลจางก็ไม่มีใครสนใจที่จะพบเจอหน้านางเช่นกัน