บทที่ 3 ตอนที่ 4

1636 Words
ในที่สุดอัศม์เดชก็จำยอมตามใจเด็กสาวผู้บอบช้ำจนได้ อัญญดาได้ห้องใหม่ในหอพักสตรีแห่งหนึ่ง ซึ่งมีญาติของเพื่อนเขาเป็นเจ้าของ แต่ปกปิดเรื่องดังกล่าวไม่ให้เธอรับรู้ ด้วยไม่อยากให้หญิงสาวคิดว่ากำลังถูกจับผิด ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันเกิดจากความเป็นห่วงต่างหาก แต่ก็นั่นแหละ...อัญญดาไม่เคยมองเขาในแง่ดีอยู่แล้ว ยิ่งมาเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น แม้แต่ลมหายใจ เธอก็ไม่อยากใช้ร่วมโลกใบเดียวกันกับเขา... "คุณหมอกลับไปเถอะ...ที่นี่หอพักผู้หญิง เขาไม่อนุญาตให้ผู้ชายขึ้นมาอยู่นานๆ นะคะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าบึ้งตึง หงุดหงิดที่ถูกก้าวก่ายอิสรภาพทุกอย่าง แม้กระทั่งจะย้ายออกมาอยู่ข้างนอกก็ยังต้องขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของเขา มันทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความไม่เป็นอิสระที่ก่อกวนจิตใจเธออยู่ทุกครา แม้จะแยกตัวออกมาอยู่ข้างนอกแล้วก็ตาม สัญชาตญาณบางอย่างมันแผ่รัศมีบ่งบอกให้รู้ว่าอัศม์เดชยังคงมีอิทธิพลต่อเธออยู่เหมือนเคย "น้ำมนต์...นี่ไม่ใช่สิ่งที่พี่คิดว่าดีหรอกนะ แต่ถ้าน้ำมนต์ต้องการมันก็โอเค พี่ขัดไม่ได้ แต่น้ำมนต์...พี่อยากให้รู้นะว่าเรื่องคืนนั้น..." "หนูอยากพักผ่อนแล้วค่ะ...ขอบคุณที่ช่วยขนของ..." เธอหันหลังให้ร่างใหญ่ทันที เป็นการหยุดคำพูดของอีกฝ่ายไปโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ สอดมือล้วงกระเป๋าแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างครุ่นคิด และจำต้องเก็บงำความในใจที่ปรารถนาเอ่ยออกมา เพื่อจะได้ลดหลั่นความผิดบาปที่ติดตรึงอยู่ในใจ "มีอะไรก็โทรฯ บอกพี่นะ..." มีเพียงประโยคนั้นที่ใช้กล่าวแทนคำล่ำลาก่อนจะถอนเท้าและหันกลับออกไปนอกห้อง สาวเจ้าเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าและเสียงประตูปิดลง รู้สึกหายใจได้ทั่วท้องประมาณหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่เตียงกว้างแล้วทิ้งตัวลงด้วยความอ่อนแรง มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่แขนอีกข้างและร่างกายของตัวเองที่มันไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว ความเสียใจ ความสูญเสีย และความรู้สึกที่บาดเจ็บไม่ได้เลือนหายไปตามการแสดงออกที่หญิงสาวมักทำให้เห็นว่าไม่แยแสแต่จริงๆ แล้วเธอแค่ไม่อยากให้อัศม์เดชคิดว่าตนเองเรียกร้องความสนใจ อาจส่อเค้าให้เกิดปัญหายืดเยื้อในภายภาคหน้า กลีบปากสีชมพูสดเม้มเข้าหากันจนโลหิตไหลเวียนแดงปลั่ง ตามมาด้วยน้ำตาที่หยดรินเพราะอดกลั้นต่อความเจ็บช้ำไม่ไหว กระนั้นอัญญดาก็ยังมาดมั่นที่จะเข้มแข็งและยืนหยัดให้ได้ดั่งเดิมในสักวันหนึ่ง "แม่จ๋า...น้ำมนต์จะอดทน ลูกสาวแม่คนนี้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ แม่จะได้ไม่ต้องมีห่วงนะจ๊ะแม่จ๋า..." น้ำตาแห่งความอาดูรหยดแหมะ เธอใช้หลังมือปาดเช็ดทันควัน กลืนก้อนเจ็บจุกลงคอ ความสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากน้ำมือคนๆ เดียวกัน มันเริ่มก่อตัวเป็นความเจ็บแค้นที่ยากเกินเยียวยาให้หันไปญาติดีกับอัศม์เดชได้อีก แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังมีใจอโหสิกรรมให้แก่เขา ขอเพียงจากนี้ไป...อย่าได้จองบาปจองเวรต่อกันอีกเลย... สถานที่แห่งนี้ช่างเหว่ว้านัก...ไม่รู้จิตสำนึกมันมโนไปเองหรือเพราะบรรยากาศที่คนไข้ทุเลาบางตาลงไปกว่าวันก่อนๆ ก็ไม่อาจเดาได้ เพียงแต่ดูเหมือนรอบๆ ตัวของเขามันน่าหงุดหงิดงุ่นง่านไปเสียหมด ไร้ชีวิตชีวาและเงียบเหงาแปลกๆ คุณหมอร่างใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินพับแขนเลยข้อศอก สวมผ้าปิดจมูกเพื่อป้องกันเชื้อโรคเหมือนทุกๆ วัน อีกในหนึ่งเขาก็อดที่จะคิดขำๆ ไม่ได้ว่า หน้ากากอนามัยชนิดผ้านี้มันสามารถช่วยบดบังความรู้สึกทางสีหน้าของเขาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว "คุณหมอคะ...เบสขอลางานสามวัน จะพาแม่ไปวัดค่ะ" ผู้ช่วยสาวซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์การแพทย์เอ่ยปากบอกในขณะที่เธอนึกขึ้นได้พอดิบพอดี "เขียนใบลาฝากจีจี้เอาไว้ก็แล้วกันนะ วันนี้คนไข้น้อย เหลืออีกสองสามคน ถ้าคุณอยากกลับก่อนก็ได้นะ มะรืนครบรอบพ่อคุณเสียใช่ไหม กลับไปเตรียมของทำบุญเถอะ" "คุณหมอจำได้..." เบสหรือลีลาวลีอุทานด้วยความปลื้มปริ่ม แววตาเป็นประกายซาบซึ้งต่อคุณหมอรูปงามของเธอ "อ๋อ...ผมก็เพิ่งนึกได้ตอนเห็นโน้ตบนปฏิทินที่โต๊ะคุณนั่นแหละ" "ค่ะ...ว่าแต่พักนี้คุณหมอดูซึมๆ ไปมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ" เจ้าหล่อนหันไปยิ้มให้กับนายแพทย์หนุ่มที่หันหน้ามามองแวบหนึ่งก่อนจะก้มงุดสาละวนกับการเขียนรายงานวินิจฉัยอาการผู้ป่วยต่อ "ไม่นี่ พักนี้คนน้อยแต่งานเยอะ เบื่อ" "ไม่ใช่ว่าเบื่อเพราะน้องน้ำมนต์ย้ายไปอยู่หอข้างนอกหรอกเหรอคะ" ลีลาวลีวางอุปกณ์ทั้งหมดลงในถาดอลูมิเนียม และยกถาดนั้นไปวางรวมกับอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อนำไปทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ "น้ำมนต์ไปเรียนน่ะ เขาว่าอยู่นี่ไกลจากมหาลัย...ขี้เกียจตื่นเช้าเดินทางไกล" "อ๋อค่ะ...แกก็โตแล้วปล่อยๆ ไปบ้างก็ดี นี่คงไม่ได้คิดจะรับผิดชอบดูแลไปชั่วชีวิตหรอกใช่ไหมคะ" หล่อนดึงถุงมือทิ้งถังขยะและกดน้ำยาล้างมือคลึงถูอ้อยอิ่ง ในขณะที่เดินทอดร่างเข้าหานายแพทย์หนุ่มที่โต๊ะทำงานด้วย "หมอเพชรคะ...คืนนี้เราไปหาอะไรดื่มแก้เครียดกันหน่อยดีไหม เบสก็กลับต่างจังหวัดตั้งสามวัน...คงคิดถึงคุณหมอแย่" มือที่ขาวสะอาดนิ้วเรียวได้รูป วางทาบลงบนกองเอกสารที่อัศม์เดชกำลังจดๆ เขียนๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวผ่านแว่นสายตาที่สวมอยู่ เห็นรอยยิ้มหวาน สายตาจิกมองสะกดให้เขาหลงมนต์เสน่ห์ของเธอ ลีลาวลีเป็นพยาบาลผู้ช่วยฝีมือดี ทำงานกับเขามาพอๆ กับช่วงที่อัญญดาเข้ามาพัวพันในชีวิตนั่นแหละ เพราะเป็นเวลาเดียวกันกับคลินิกแห่งนี้ได้ก่อเกิดขึ้น นอกจากความรู้และฝีมือในการทำงานแล้ว...ลีลาวลียังจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยสุดใจอยู่ไม่น้อย ทั้งรูปร่างแบบบางแต่เต็มแน่นไปด้วยสัดส่วนความสาว เค้าโครงหน้าที่ครบเครื่อง รวมไปถึงผิวพรรณที่เปล่งปลั่งชวนมองนั้นด้วย "เอ่อ..." "นะคะ...เห็นคุณหมอเหนื่อยๆ เบสก็อยากช่วยให้ผ่อนคลายบ้าง เรา...ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกันนานแล้วนะ" ไม่เพียงปากเปล่าที่พร่ำพลอด ร่างระหงของลีลาวลีก็เดินเบียดเข้าหาร่างใหญ่ที่นั่งมองอยู่นั่น พร้อมกับโน้มตัวลงมาสายตาประสานสะกดให้อีกฝ่ายนิ่งงัน กลีบปากบางไม่รีรอจะเผยอประกบริมฝีปากหยักหนาที่เธอเคยคุ้น และโหยหาอยู่ตลอดเวลา...แม้จะห่างหายคงสถานะเอาไว้แค่เจ้านายกับลูกน้องมาสักพักใหญ่ๆ แล้วก็ตาม "อืม..." เจ้าหล่อนครางฮือเมื่ออีกฝ่ายเม้มดูดกลีบปากสีชมพูตอบสนอง อัศม์เดชร้อนแรงเสมอข้อนี้หญิงสาวรู้แก่ใจดี แต่ไม่นึกว่าเขาจะเล่นด้วย หลังจากที่ตัดสินใจทิ้งระยะห่างระหว่างกันในครานั้น... "พอเถอะ...ยังไม่เลิกงานเลยเดี๋ยวจีจี้ก็เข้ามาเห็นหรอก..." ชายหนุ่มถอนจูบด้วยแววตาที่ยังฉ่ำปรือ เสียงทุ้มนุ่มของเขาบ่งบอกถึงความไม่มีสมาธิเท่าไหร่นัก แต่ก็จำใจผละห่างด้วยเหตุผลของช่วงเวลา "รสชาติของคุณหมอ...ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ เพราะอย่างนี้แหละ เบสถึงตัดใจไม่ลงสักที" เธอยังคงใช้สายตาหวานหยดย้อยโปรยเสน่ห์มองอัศม์เดช และเหล่เหลือบไปยังรูปครอบครัวที่วางอยู่มุมโต๊ะอย่างไม่ใคร่ชอบใจนัก อัศม์เดชเหยียดริมฝีปากยิ้ม และก้มหน้าก้มตาทำงานต่อนั่นทำให้อีกฝ่ายรู้สึกหน้าตึงขึ้นมาทันที แต่อย่างน้อยก็ใช่ว่าจะถูกปฏิเสธเสียทีเดียว "อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ เบสเริ่มสงสัยแล้วสิว่าคุณกับน้ำมนต์เป็นแค่ผู้อุปการะกับเด็กในอุปการะจริงๆ" "ถ้าคุณยังไม่อยากกลับบ้านก็กลับไปทำงานให้เสร็จดีกว่านะ ผมก็มีงานค้างอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน" "ค่ะ...เบสก็ค้างอยู่..." สายตาพราวเสน่ห์ของผู้ช่วยสาวยังจ้องจะสะกดให้เขาเคลิ้มไปตามครรลองของเธอ ไม่พูดเปล่าร่างเล็กเบียดตัวทิ้งสะโพกผายลงบนตักเขาเสียเลยอย่างถือวิสาสะ ไม่สนสายตาของอีกฝ่ายที่ดูดุดันและยิ้มร้ายมุมปากเอียงหน้าเป็นการส่งสัญญาณเตือน "ทำไมคะ...เดี๋ยวนี้คุณหมอแปลกไปนะ" เรียวนิ้วขาวกรีดกรายไปตามโครงหน้าไถลลงมาม้วนผมดำดกหนาที่ยาวเลยบ่าเล่น มืออีกข้างคล้องจับต้นขอเขาไว้หลวมๆ อัศม์เดชมีเสน่ห์ดึงดูดก็ตรงนี้แหละ ตรงที่เดาอารมณ์และความรู้สึกยาก ผู้หญิงหลายต่อหลายคนใคร่อยากพิชิตใจถือสิทธิ์เป็นเจ้าของอย่างเปิดเผย แต่เหล่านั้นก็มักเป็นได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่เขาเขี่ยทิ้งอย่างนิ่มนวล จนแทบไม่ได้ตั้งตัว ไม่มีการตัดเยื่อขาดใย แต่ก็ไม่ใส่ใจจะถามหา หนึ่งในนั้นก็รวมถึงตัวเธอด้วย สาเหตุก็มาจากผู้หญิงที่ยืนอุ้มลูกยืนเคียงอยู่กับเขาในรูปนั่นแหละ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD