"ขอบคุณมากค่ะพี่หมอที่พาเราไปเที่ยวสวนสนุกวันนี้ มีอะไรก็โทร.หาน้ำหวานได้ตลอดนะ ถึงเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน...แต่พี่หมอก็เป็นคนในครอบครัวน้ำหวานเสมอนะคะ" มธุรสกล่าวและส่งยิ้มให้ก่อนจะอ้าแขนรับลูกมาจากอัศม์เดช เมื่อเขามาส่งถึงหน้าบ้านพี่สามี
หญิงสาวดูออกว่าเขามีบางอย่างให้ต้องคิดหนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่เอ่ยปากออกมาเองก็ไม่อยากไปคะยั้นคะยอ สุดท้ายคงทำได้แค่ฝากฝังคำพูดเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
"ครับ...เป็นเด็กดีนะลูก จัสมิน มาคราวหลังพ่อสัญญาจะพาไปเที่ยวทุกที่ที่ลูกอยากไปเลย"
"จริงๆ เหรอคะ พ่อเพชรห้ามโกหกนะ เย้ๆๆ ดีใจจังเลย พ่อเพชรใจดีที่สุดในโลกเลย" จัสมินยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจเมื่อได้ยินคำมั่นนั้นจากปากพ่อบุญธรรมของเธอ
"แน่นอน...สำหรับลูกสาวของพ่อ ถ้างั้นพี่กลับล่ะนะน้ำหวาน ดูแลตัวเองนะครับ" ชายหนุ่มออกปากบอกลา สีหน้าของเขายังไม่ใคร่สู้ดีนัก สิ่งนั้นทำให้มธุรสมองตามด้วยความกังวลใจไปด้วย จนเขาขึ้นรถและขับออกไปสุดสายตา
ร่างเล็กตัดสินใจอุ้มลูกเดินเข้ารั้วบ้านของพี่ชายสามี ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามวิถีของมัน เฉกเช่น...ที่เธอเองก็เคยประสบมาแล้วก่อนหน้า...
รถยนต์ซีดานสีดำเคลื่อนตัวไปตามความยาวของท้องถนน คนขับครุ่นคิดถึงปัญหาที่สุมอกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังพยายามเพ่งสมาธิอยู่กับการบังคับพวงมาลัย เพราะไม่อยากให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจนกลายเป็นเรื่องเศร้าขึ้นมาอีกหน
เขายังนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อกลับบ้านไปและต้องเผชิญหน้ากับอัญญดา หญิงสาวในปกครองที่เกิดมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขา ที่ผ่านมา...อัศม์เดชรู้ใจตัวเองอยู่เต็มอกว่าไม่เคยเปิดใจให้หญิงนางใดเข้ามาแอบอิงชิดเชื้อ เขารักมธุรส...รักมานานหลายปี แม้ตอนนี้เธอผู้นั้นจะแต่งงานและกลับไปอยู่กับครอบครัวที่แท้จริงของตัวเองแล้วก็ตาม
แต่ความรู้สึกของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
ทุกสิ่งทุกอย่างยังวนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้า ได้ทำความรู้จักและค่อยๆ สนิทสนมกันเรื่อยๆ เขายังจำได้ถึงวันแรกที่หัวใจแตกสลายเมื่อรู้ว่ามธุรสมีณกร รู้ว่าเธอตั้งครรภ์และณกรโหดร้ายกับเธออย่างไรบ้าง มาจนถึงตอนนี้ที่เคยแสดงตัวรับผิดชอบโดยการแต่งงานและดูแลเธอกับลูกนอกไส้ ก็ไม่เคยนึกเสียใจเลยสักครั้ง
จนวันหนึ่ง...เมื่อเรื่องทุกอย่างปรากฏและต้องเสียทั้งคู่ให้กับเจ้าของที่แท้จริงอย่างณกร...นั่นแหละคือวันที่หัวใจของเขาแตกสลายไม่มีชิ้นดี แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับเพราะเป็นเขาฝ่ายเดียวที่มีใจ มธุรส...รักณกรตลอดเวลา แม้ชายหนุ่มคนนั้นจะสร้างบาดแผลให้กับเธอมากมายแค่ไหน มันก็ไม่ได้เจือจางความภักดีของหัวใจเธอลงได้เลย และเมื่อณกรสำนึกผิดได้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยการกระทำของตัวเอง แน่นอน...คนรักกันย่อมให้อภัยกันและกันได้เสมอ ทั้งคู่จึงกลับไปครองคู่อย่างมีความสุข พร้อมลูกน้อยที่เขาฟูมฟักมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ความเจ็บปวดนั้นไซ้...ประหนึ่งลมหายใจจะขาดรอน แต่...ความรักไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต เขายังมีภาระหน้าที่ มีแม่สูงอายุให้ต้องดูแล การทำใจให้ยอมรับความเป็นจริง และอยู่กับมัน มีความสุขกับมันย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แล้วอัญญดาล่ะ...จะอภัยให้เขาเหมือนที่มธุรสสามารถยกโทษให้ ณกรได้หรือไม่ ในเมื่อ...ทั้งเขาและเธอต่างก็ไม่ได้มีใจให้แก่กัน เหมือนสองคนนั้น...
ร่างใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตัวเองเกือบจะสิบนาทีได้แล้ว มือสองข้างสอดในกระเป๋ากางเกง ก้มหน้าจนผมที่ยาวเลยบ่านิดหน่อยปรกต้นคอ อัศม์เดชมีบุคลิกไม่ค่อยเข้ากับอาชีพตัวเองสักเท่าไหร่ ผมยาว ผิวค่อนข้างเข้ม รูปร่างล่ำสันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ริมฝีปากหยักหนาสีชมพู และดวงตาคมกริบกับคิ้วหนาได้รูป หลายคนบอกว่าเขาเหมาะที่จะเป็นสถาปนิก หรือไม่ก็ทำงานจำพวกอาร์ตๆ มากกว่า
มันไม่สำคัญหรอก เพราะใจของเขามันรักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในด้านนี้ น่าเสียดาย...ในทางกลับกันเขาก็ทำลายใครบางคนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่น่าให้อภัย
ชายหนุ่มหายใจยาวหนัก พ่นลมออกปากด้วยความเครียดและกดดัน ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือจับลูกบิดและเปิดประตูห้องนอน
"น้ำมนต์..." เสียงทุ้มครางหัวใจหล่นหายเมื่อมองไม่เห็นร่างแบบบางบนที่นอน...เขาเหลือบแลโต๊ะที่วางอาหารและยาไว้ให้เด็กสาว ก็ปรากฏว่าเธอไม่ได้แตะต้องมันเลย ชายหนุ่มรีบเข้าไปสำรวจภายในห้องทุกซอกมุมเพื่อความแน่ใจ ทั้งในห้องน้ำ และระเบียงแต่ก็ไร้วี่แววเสียจนน่าวิตก
ร่างใหญ่ออกจากห้องของตัวเองด้วยความรีบร้อน และตรงไปที่ห้องนอนของอัญญดาบ้าง เพราะก่อนจะเข้ามาในบ้านเขาสำรวจดีแล้วดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้ออกไปไหน
และแล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด...อัญญดาอยู่ในห้อง แต่เธอล็อกประตู ซึ่งมันทำให้ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง เขาไม่ควรปล่อยให้เธออยู่คนเดียวหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืน ช่างสุ่มเสี่ยงเหลือเกินกับจิตใจที่บอบบางและร้าวรานของเธอ
"น้ำมนต์! น้ำมนต์! อยู่ข้างในใช่ไหมเปิดประตูให้พี่หน่อย!"
"..." ไร้ปฏิกิริยาตอบรับ มือหนาเสยผมที่ปรกบ่าแรงๆ เดินหันซ้ายขวาครุ่นคิด
"น้ำมนต์อยู่ข้างในใช่ไหม...เปิดประตูให้พี่เถอะ พี่มีเรื่องจะพูดด้วย!" เขายังไม่ละความพยายาม มือจับลูกบิดและใช้แรงดันประตูหวังให้มันปลดล็อก จิตใจตอนนี้มันรับไม่ได้กับสิ่งที่ตัวเองมโนคิดไป หากว่า...อัญญดาคิดสั้นเหมือนมธุรสตอนนั้น เขาคงไม่อาจมีชีวิตอยู่เป็นผู้เป็นคนได้เช่นกัน
"น้ำมนต์!" มือกำหมัดทุบไปยังประตูห้องซึ่งเป็นไม้แกะสลักแรงๆ หลายครั้ง พร้อมทั้งกระแทกตัวเข้าหา ไม่นึกกลัวว่ามันจะพังพินาศหรืออาจเกิดความเสียหาย
ณ วินาทีนี้ อัศม์เดชแทบจะพังบ้านทั้งหลังเพื่อจะพาหญิงสาวออกมาจากห้องนั้นให้ได้...
"พอแล้วค่ะ..." เสียงแหบดังขึ้นหยุดการกระทำ ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก เขาหายใจเข้าลึกเต็มปอด หลังจากที่กังวลจนหูอื้อตาลายไปหมด
"น้ำมนต์ เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อยนะ..."
"หนูอยากอยู่คนเดียว" เจ้าของเสียงเดิมตอบกลับ จากการตั้งใจฟังสรุปได้ว่าเธอห่างกับเขาแค่ประตูกั้นเท่านั้นเอง
"พี่มีเรื่องจะคุย...นิดเดียวจริงๆ"
"ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ถ้าจะคุยเรื่องนั้น..."
"จำเป็นสิ จำเป็นมากๆ ด้วย พี่ไม่ได้ป้องกัน น้ำมนต์อาจจะ...อาจจะท้อง"
อีกฝั่งกำแพงที่ได้ยินถึงกับกัดปากจนรู้สึกเจ็บ แอบนึกเข้าข้างตัวเองว่าผู้ชายจะรู้สึกผิดที่ทำร้ายให้เธอมีบาดแผลไปชั่วชีวิต แต่ที่ไหนได้...เขาแค่เป็นห่วงว่าเธอจะสร้างปัญหาให้
"ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นน้ำมนต์ก็มีเรื่องจะคุยกับคุณหมอเหมือนกัน" ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมเปิดประตู และหันหลังเดินหนีทันทีที่เขาเยื้องกรายเข้ามา
"ทำไมไม่กินข้าว ไม่กินยา..." เขาถาม...สายตาไม่ได้ละห่างจากร่างเล็กที่กำลังสอดมือกอดตัวเองเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหญิงสาวผ่านการร้องไห้มาหนักหนาแค่ไหน
"พี่มีธุระ...ก็เลย..."
"หนูไม่มาตายที่บ้านคุณหมอให้เป็นปัญหาหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง"
"น้ำมนต์..." แม้จะชินชากับคำพูดเสียดสีมาตลอด แต่วันนี้เขากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บหน่วงมากกว่า เขาไม่โทษเธอหรอก เพราะมันก็สมควรแล้ว
"คุณหมอมีอะไรจะคุยเหรอคะ ถ้ากลัวหนูท้องก็เอายาคุมฉุกเฉินมาให้หนูกินก็แล้วกัน หรือถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวหนูจะไปหาซื้อเองก็ได้" อาจจะฟังดูเข้มแข็งสำหรับร่างกายและจิตใจที่แสนจะบอบช้ำ แต่จริงๆ แล้วเธอแค่ไม่ต้องการให้เขามาซ้ำเติมดูแคลนกันไปมากกว่านี้ก็เท่านั้น
"ใครสอนให้คิดเรื่องแบบนี้ หืม...ไม่รู้รึไงว่ายาพวกนั้นมันอันตราย แล้วก็ใช่ว่าจะซื้อกินเหมือนขนมได้ พี่เป็นหมอ พี่รู้ดี" น้ำเสียงทุ้มเพิ่มเดซิเบลสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ เมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
"แล้วจะเอายังไง..." อีกฝ่ายตามกลับห้วนๆ เดินห่างจากเขาไปอีกโดยไม่คิดเหลียวหลังกลับมามอง
"พี่ก็แค่อยากรู้รายละเอียดเรื่องประจำเดือนของน้ำมนต์ เพื่อจะได้เช็คถูก"
"แค่นั้นเองเหรอคะ...น้ำมนต์จัดการตัวเองดีกว่า" คนฟังน้ำตาคลอหน่วยระรื่น หายใจหนักๆ ด้วยความโกรธและเจ็บปวดหัวใจ การสูญเสียสองสิ่งด้วยน้ำมือเขา ไม่เคยถูกมองว่ามีความหมาย...
อัศม์เดชไม่เคยแยแสความรู้สึกของเธอหรอก เหมือนกับที่เขารับเธอเป็นเด็กในปกครองก็เพื่อจะได้ไม่ต้องตกเป็นจำเลยสังคมเท่านั้น ไม่ได้เคยรับรู้ความต้องการของเธอ ตอนนี้ก็เหมือนกัน เขาคงทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ปานปลายไปถึงครอบครัว จึงได้กังวลเรื่องเด็กที่อาจจะถือกำเนิดขึ้นมาและก่อปัญหาในภายภาคหน้า
หญิงสาวเอามือลูบหน้าท้องด้วยความเผลอไผลเมื่อคิดดังนั้น...