♫ ♬ ♫~*♫~ เสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือทำให้เจ้าของเครื่องขยับตัว ขยี้ตาและรีบควานคว้ามันมาไว้ในมือ เขาเพ่งมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นอันดับแรก ก่อนจะกดสไลด์รับสาย พร้อมกันนั้นก็ขยับตัวลุกจากที่นอนเป็นเหตุให้ร่างระหงรู้สึกตัวตื่นไปด้วย
เธองงงวยเล็กน้อยกับสภาพห้องที่ไม่คุ้นชิน สายตาจับจ้องไปยังร่างใหญ่ของอัศม์เดชในขณะที่เขาเดินออกไปตรงริมหน้าต่าง ดึงผ้าม่านเปิดออกเล็กน้อยทำให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามา มันทำให้เธอรู้ว่าเป็นเวลาสายมากแล้วสำหรับวันนี้
"มีอะไรเหรอจ๊ะน้ำหวาน..."
เสียงทุ้มเอ่ยทักประโยคแรกนั้นทำเอาคนฟังเจ็บแปลบหวิว ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ผลสรุปแล้วว่าความสูญเสียเมื่อคืนนั้น...มันมิใช่ความฝัน
เธอนอนอยู่บนเตียงนอนเขา...สวมเสื้อตัวโคร่งของเขาโดยไม่มีชั้นใน และอยู่ในห้องของเขา
ห้อง...ที่ยังมีรูปแต่งงาน และรูปครอบครัวอยู่ในฉากบนหัวเตียง
"แล้วจะมาถึงกี่โมง พี่ไปรับนะ...ลูกมาด้วยหรือเปล่า..." ชายหนุ่มคุยกับปลายสายด้วยความตื่นเต้นดีใจ โดยไม่ได้รู้เลยว่าคนที่นอนฟังอยู่บนเตียงนั้นรู้สึกสมเพชตัวเองมากมายสักแค่ไหน
"โอเค...พี่ไปรับดีกว่าจะได้พาลูกไปเที่ยวด้วย กว่าน้ำหวานจะมาถึงพี่คงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพอดี"
หญิงสาวเจ้าของชื่อนั้นอัญญดารู้จักมาพอๆ กับช่วงเวลาที่ได้รู้จักกับอัศม์เดช เจอกันครั้งแรกในงานศพมารดาของเธอ จากนั้นก็เป็นที่บ้านหลังนี้ในหลายๆ ครั้งตลอดสองปี แต่ไม่เคยสนทนากันอย่างจริงจัง แค่ทักทาย...และมธุรสก็ไม่เคยนอนค้างที่นี่ด้วย ความสัมพันธ์จึงเป็นเพียงคนรู้จัก เคยเห็นหน้าเท่านั้น
"ครับ...โอเคครับ...ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะพี่มีธุระนิดหน่อย...สวัสดีครับ" อัศม์เดชรีบหันมาที่เตียงนอนทันทีที่กดวางสาย ความรู้สึกผิดมากมายกดดันให้แม้แต่จะก้าวขาเข้าไปหายังทำได้ยากเย็น
"น้ำมนต์..."
"..." คนตัวเล็กหรี่กะพริบไล่หยาดน้ำตาไม่ให้รินไหลประจานความเจ็บช้ำไปมากกว่านี้
อัศม์เดชกลืนน้ำลายลงคอ...แม้จะเมาแต่เขาก็จดจำทุกรายละเอียดได้เป็นอย่างดี...ไม่ลืม...แม้กระทั่งความรู้สึกสุขสมที่เกิดจากการเอาเปรียบเด็กสาวในปกครอง
ชายหนุ่มสลัดศีรษะขับไล่ความตีบตันและเดินเข้าไปนั่งบนเตียงใกล้ๆ เธอ...
"เรื่องเมื่อคืน...พี่ขอโทษ..." จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ หรือเป็นเพราะเมาก็คงเป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัวมหันต์ และไม่น่าให้อภัยเอาเสียเลย เขาเอื้อมมือไปปาดน้ำตาที่เล็ดหลั่งคลอเบ้า แต่เธอสะบัดออก และพลิกตัวหันหน้าไปอีก ไม่อยากเห็น ไม่อยากตื่นขึ้นมาแล้วพบความอัปยศอดสูเช่นนี้เลย
"ก็ได้...น้ำมนต์ต้องการเวลาพี่เข้าใจ แล้ววันนี้พี่ก็มีธุระต้องไปรับน้ำหวานกับลูกด้วย พี่จะกลับมาคุยเรื่องของเราทีหลัง น้ำมนต์ห้ามไปไหนนะ เดี๋ยวพี่จะทำโจ๊กไว้ให้ เอ่อ...ต้องกินยาด้วยนะเดี๋ยวจะไม่สบาย..." เขากล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบใบหน้าหวานซึ่งบัดนี้มีแต่ความหมองหม่น
"..." ในที่สุดก็ไม่คิดจะพูดอะไร...
อัศม์เดชลุกเดินเข้าห้องน้ำทำความสะอาดร่างกาย จากนั้นก็แต่งตัวและลงไปจัดการหาอาหารง่ายๆ พร้อมยามาเสิร์ฟสาวน้อยที่ยังนอนแช่น้ำตาอยู่บนเตียงนอน
"โจ๊กร้อนๆ กับยาพี่วางไว้บนโต๊ะนี้นะ พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วห้ามหนีไปไหนจนกว่าพี่จะกลับมา ไม่อย่างนั้นน้ำมนต์ได้มีปัญหากับทางมหาลัยแน่ๆ"
มิวายจะทิ้งท้ายความเห็นแก่ตัวเอาไว้...เสียงประตูปิดลง ทุกอย่างตกอยู่ในความเวิ้งว้างวังเวงเหมือนโลกทั้งใบมีเพียงเธอที่สิงสถิตอยู่
เขาไปแล้ว....ไปแบบไม่หลงเหลือเยื่อใยให้กับความสูญเสียของเธอ เหมือนไร้ค่า เหมือนเป็นแค่เครื่องบำบัดราคะฆ่าเวลาตอนเมามาย แล้วก็ทิ้งให้เธอเดียวดายอยู่ในกรงที่ไม่อาจขยับปีกไปไหน เพราะชายหนุ่มได้ยกสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมาขู่ทับหน่วงเหนี่ยวเอาไว้
ใครว่า...อัศม์เดชเป็นพ่อพระ ใครบอก...ว่าเขาแสนดีอบอุ่นอ่อนโยน
เขาเหล่านั้นจะรู้หรือไม่...เทพบุตรในคราบมารตนนี้ได้สร้างตราบาปให้ชีวิตของเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนแต่เป็นความเจ็บปวดชอกช้ำที่ไม่อาจลบเลือนมันลงได้แม้จะต้องใช้เวลาที่เหลือจนหมดลมหายใจก็ตาม
"แม่จ๋า....น้ำมนต์ไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว...น้ำมนต์อยากไปอยู่กับแม่"
อัญญดาปล่อยสะอื้นอย่างสุดกลั้นเมื่อนึกถึงบุพการีซึ่งหลับไปตลอดกาลไปแล้วเมื่อสองปีก่อน หากท่านยังอยู่เธอคงไม่ต้องทนทรมาน ทนลำบากอึดอัดใจเช่นนี้หรอก แม้จะยากจนหาเช้ากินค่ำ แต่ความความทรงจำเก่าๆ ก็ล้วนแล้วแต่บันทึกเอาไว้แต่สิ่งสวยงาม มีความสุข...
แม่...เป็นบุคคลสำคัญที่สุดสำหรับเธอ เช่นเดียวกันกับที่เธอ...ก็สำคัญที่สุดสำหรับท่าน ไม่ใช่ตัวแทน ไม่ใช่ของไร้ค่าที่ถูกสังคมตราหน้าตำแหน่งอดสูให้
และไม่มีวันสำคัญเทียบเท่าตัวจริงของเขา
...มธุรส หญิงสาวคนนั้นที่มีรูปร่างบอบบางผิวขาว เครื่องหน้าสวยหวาน ดวงตากลมโตสุกใส เธอไม่เคยรู้รายละเอียดหรอกว่า อัศม์เดชกับมธุรสรักชอบกันได้อย่างไร เพราะไม่เคยสนใจสอบถาม ไม่เคยอยากรู้เรื่องส่วนตัวของเขา ไม่แม้แต่จะอยากมองหน้าหรือใช้ลมหายใจร่วมโลกใบเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
ถ้าไม่เพราะไร้ที่พักพิงจาการที่มารดาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุครั้งนั้น และท่านก็ฝากฝังอัศม์เดชเอาไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะก่อนจะสิ้นลม เธอคงยอมจะเป็นเด็กเร่ร่อนทำงานส่งเสียตัวเองเรียนดีกว่า แต่เมื่อคิดว่า...แม่ มีความเป็นห่วงอาทรในตัวเธอมากแค่ไหน เหตุผลเดียวกันก็ผูกมัดเธอเอาไว้กับเขาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
แค่เพื่อ...ให้แม่ได้ไปสู่สุคติอย่างไม่ต้องมีห่วงกังวลเท่านั้น
"คุณพ่อเพชรขา..."
เสียงแหลมเล็กกระตุกสมาธิของใครบางคนให้กลับคืนมาอีกครั้ง...เขารีบหันไปมองตามเจ้าของเสียงเล็กที่วิ่งตัวปลิวเข้ามาหา
"จัสมิน...เป็นอะไรครับลูก ไม่สนุกเหรอ" อัศม์เดชอ้าแขนรับร่างจ้ำม่ำผิวขาวในชุดเดรสสีม่วงอ่อนๆ ประดับดอกไม้ที่ชายกระโปรงอย่างไม่มีอิดออด รู้สึกผิดเล็กน้อยที่วันนี้ไม่ได้สนใจเธอเท่าที่ควร
"บ่นว่าไม่สนุกค่ะ...กลัวพ่อเพชรป่วย" ร่างระหงของสาวสวยนางหนึ่งเดินมาสมทบ เธอยิ้มหวานพร้อมให้คำตอบแทนลูกน้อยวันสี่ขวบเศษ
"อ๋อ...พ่อขอโทษครับ พอดี เอ่อ...พ่อมีปัญหาเรื่องงานนิดหน่อย" เขาปด...อย่างน่าละอาย แต่เด็กน้อยก็พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะสวมกอดชายหนุ่มไว้เช่นเดิม
"ได้ข่าวว่างานสัมมนาที่ต่างประเทศล่มกลางคัน พี่หมอคงไม่สบายใจเรื่องนี้?" หญิงสาวมายืนข้างๆ เก้าอี้เหล็กที่เขานั่ง ส่งยิ้มหวานเป็นการปลอบใจเหมือนเดิม
"จ้ะ...ทางโน้นเขาไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ก็เลยตัดสินใจเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรอก ว่าแต่น้ำหวานหิวหรือยัง หรืออยากไปไหนกันต่อไหม หืม...จัสมิน" อัศม์เดชหอมแก้มขาวอวบฟอดใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะยกนั่งบนตักและหันมองหน้าหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ อดีตภรรยาในนาม...ที่เขารักสุดหัวใจ เป็นการขอคำตอบอีกครั้ง
"น้ำหวานยังไม่หิวค่ะ จัสมินก็กินขนมมาตลอดทางได้เวลาต้องไปทำธุระกับพี่ภูมิแล้วล่ะค่ะ พี่หมอไปส่งน้ำหวานได้ไหม หรือถ้าติดธุระน้ำหวานจะให้พี่ภูมิมารับ"
"พี่ไปส่งดีกว่า อยากอยู่กับลูกนานๆ คืนนี้จะค้างที่กรุงเทพฯ หรือเปล่า ค้างที่บ้านพี่ไหม" อัศม์เดชชวนคุยกับผู้เป็นแม่พลางแต่ก็ไม่ยอมปล่อยร่างเล็กของลูกสาวที่คลอเคลียกอดเขาอยู่ไม่ห่างเช่นกัน
"เอ่อ..." หญิงสาวมีท่าทีอึดอัดใจ ซึ่งอัศม์เดชก็ทราบดีถึงเหตุผลของเธอที่มักจะสร้างกำแพงกั้นระหว่างความสัมพันธ์ให้เป็นแค่พี่น้องเสมอ
"พี่ล้อเล่น...คุณณกรทั้งหวงทั้งหึงน้ำหวานจะตาย ขืนให้มานอนบ้านพี่มีหวังพรุ่งนี้พี่คงเป็นข่าวหน้าหนึ่งเพราะถูกฆาตกรรมแล้วฌาปนกิจไปพร้อมกับบ้าน" ดีหน่อย...ตรงที่ยอมให้เขาพบกับมธุรสและลูกสาวบุญธรรมได้ตลอดเวลา ไม่กีดกัน ไม่ก้าวก่าย (แบบทางตรง)
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ พี่หมอก็พูดเกินไป ว่าแต่น้ำมนต์สบายดีเหรอคะ ไม่ได้เจอนานแล้ว นี่คงใกล้เรียนจบแล้วสินะคะ" มธุรสทอดร่างนั่งลงข้างๆ อดีตสามีในนาม และเอ่ยถามสารทุกข์ทั่วๆ ไป ตามประสาคนคุ้นเคย
"เอ่อ...จ้ะ ใกล้จบแล้วล่ะ..." ชื่อนี้กลับทำให้เขาอิดออดที่จะกล่าวอะไรมากกว่านั้น ตีบตัน จุกแน่น จนอีกฝ่ายผิดสังเกต
"น้ำมนต์...ยังต่อต้านพี่หมออยู่เหรอคะ ผู้หญิงเรามักจะฝังใจกับเรื่องที่สร้างบาดแผลในชีวิต พี่หมอเรียนแพทย์มาคงเข้าใจจุดนี้ แต่เพราะความเป็นผู้ชายบางครั้งก็มีความอดทนน้อย น้ำหวานอยากให้พี่หมอใจเย็นๆ นะคะ เด็กในปกครองของพี่หมอบอบช้ำมาก ทั้งสูญเสียทั้งมีแผลเป็นที่ลบไม่ได้ น้ำหวานเคยเป็น น้ำหวานเข้าใจดี แล้วก็เชื่อว่าสักวันเขาจะต้องเข้าในพี่หมอเหมือนกัน" มธุรสพูดพลางก็นึกสลดใจเมื่อย้อนกลับไปถึงเรื่องราวของตัวเองบ้าง
เธอกำพร้า...เธอขาดแม่ซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวเหมือนอัญญดาไม่มีผิดเพี้ยน แถมช่วงวัยก็ไล่เลี่ยกัน ทุกความรู้สึกที่เด็กสาวซึ่งได้แต่แอบมองแอบส่งกำลังใจอยู่ห่างๆ จึงรู้สึกทุกความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอย่างดี
และพอจะรู้ปัญหาที่อัศม์เดชแบกรับอยู่ตลอดสองปีตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น และเขาได้ยื่นมือเข้าไปรับผิดชอบอุปการะอัญญดาแทนแม่ของเธอที่เสียชีวิต
อัญญดาดูจะแปลกแยกกับทุกคนรอบตัวชายหนุ่ม เธอสร้างกำแพงล้อมรอบตัวเองเอาไว้ทำให้ใครก็เข้าไม่ถึงในขณะเดียวกันด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กสาวจึงเป็นที่รู้กันน้อยมาก และปัญหาความบาดหมางดังกล่าวก็ยังไม่เคยคลี่คลาย เธอยังคงคิดว่าอัศม์เดชคือฆาตกรที่พรากมารดาให้จากโลกนี้ไป
และที่จำเป็นต้องอยู่ก็เพราะคำสั่งเสียสุดท้าย ไม่มีที่ไป...ญาติพี่น้องต่างผลักไสเพราะไม่อยากรับผิดชอบดูแล สภาพจิตใจของอัญญดาจึงเต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวด ไม่แปลกเลยที่หญิงสาวค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองจากกลุ่มคนที่เธอเชื่อว่า...เป็นพวกพ้องของฆาตกร
"พี่...ทำผิดต่อเขา..."
"น้ำหวานรู้...แต่พี่หมอก็ไม่ได้อยากให้อุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้นนี่คะ อีกอย่าง ทุกวันนี้พี่หมอก็ดูแลน้ำมนต์อย่างดี"
"อาจจะไม่..." มธุรสไม่รู้หรอกว่าเขาไม่ได้หมายความถึงเรื่องเดียวกันกับเธอ มันมีอะไรที่มากกว่านั้น น่าเจ็บปวดทรมานกว่า เป็นความผิดซ้ำๆ ซากๆ และก่อเวรกรรมรุนแรงขึ้นทุกทีๆ
"เอาเถอะค่ะ เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นเองไม่ว่าจะเป็นไปในแนวทางไหน น้ำหวานเชื่อว่าต้องมีทางออกสำหรับเรื่องนี้แน่นอน บางทีน้ำมนต์โตขึ้นอาจจะค่อยๆ เปลี่ยนความคิดไปเองก็ได้ค่ะ เป็นผู้ใหญ่แล้วอะไรๆ ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปบ้าง" หญิงสาวพยายามปลอบใจ เธออาจไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมากนักแต่ก็พอเข้าใจว่าอัศม์เดชกังวลเรื่องเกี่ยวกับอัญญดาบ่อยครั้ง
...คนอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ไม่พูด ไม่คุย...ย่อมเป็นเรื่องน่าอึดอัดใจ โดยเฉพาะฝั่งอัศม์เดชเองที่รู้สึกผิดอยู่แล้ว ก็ไม่เคยได้บรรเทาความรู้สึกเหล่านั้นลงเลย
"พี่ก็หวังแบบนั้น...อืม...น้ำหวาน พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ"
"คะ..." เธอยิ้มรับด้วยความยินดี ด้วยเพราะความสนิทสนมและคอยช่วยเหลือกันตั้งแต่แรกรู้จัก ทั้งคู่จึงเปรียบเหมือนคนในครอบครัว เหมือนพี่เหมือนน้อง เสมือนเพื่อน มีอะไรก็มักสื่อสารถึงกันเสมออยู่เป็นนิจมาโดยตลอด
"เอ่อ..." คนตัวใหญ่เหลือบมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดเขานิดหนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้แกลงบนพื้นและชี้ให้ไปเล่นในสวนสนุกใกล้ๆ เหมือนเดิม
แม่หนูน้อยก็ทำตามแต่โดยดี...
"มีอะไรเหรอคะ ถึงพูดต่อหน้าจัสมินไม่ได้..."
"ก็...จะถามเรื่องเก่าๆ เกี่ยวกับคุณณกรกับน้ำหวาน คือ...พี่อยากรู้ว่า ถ้าน้ำหวานไม่รักเขา จะยังเกลียดเขาเหมือนเดิมไหมกับสิ่งที่เขาเคยทำในอดีต" ขณะพูดเขาแทบไม่กล้าสบตากลมโตนั้น
"พี่หมอหมายถึงเรื่องอะไรคะ พี่หมอพูดอะไรน่ะ น้ำหวานไม่เข้าใจ" เป็นครั้งแรกที่อัศม์เดชตั้งคำถามคลุมเครือกับเธอ มธุรสออกจะนึกแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าคาดเดาความไปเอง
"ก็...คือ ถ้าตัดเรื่องความรักออกไป น้ำหวานจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เขาทำ...แค่นี้ พอจะเข้าใจไหม" แม้จะยังรู้สึกสับสนแต่ชายหนุ่มก็พยายามเรียบเรียงคำพูดตัวเองให้ดูง่ายขึ้นมากที่สุด
"คือ...น้ำหวานก็ไม่ค่อยเข้าใจพี่หมอนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าถามเรื่องน้ำหวานกับคุณณกร ถึงตอนนี้น้ำหวานก็ยังไม่ลืมสิ่งที่เขาเคยทำให้น้ำหวานเจ็บช้ำน้ำใจหรอกค่ะ แต่เพราะเมื่อกลับมาอยู่ด้วยกัน เขาก็ดีมากๆ ทำหน้าที่พ่อ สามีได้ไม่ขาดตกบกพร่อง ดูแลเราสองคนแม่ลูก แล้วก็ทำทุกอย่างเพื่อให้น้ำหวานมีความสุข สบายใจ...อยากชดเชยความผิดเก่าๆ มันก็ช่วยให้น้ำหวานไว้วางใจเขามากขึ้น แล้วก็เปิดใจยอมรับความสุขเพื่อครอบครัวของเรา เพื่อลูก..." ประโยคสุดท้ายเธอกล่าวด้วยความอิ่มเอมเป็นที่สุด
"พี่เข้าใจแล้ว...แต่พื้นฐานความรู้สึกของน้ำหวานกับน้ำมนต์ต่างกัน"
"น้ำหวานกับคุณณกร มีจุดเริ่มต้นไม่เหมือนพี่หมอกับน้ำมนต์นี่คะ หรือว่า..."
"เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก แค่ชวนคุยแก้เครียด อีกสองสามเดือนน้ำมนต์ก็จะเรียนจบแล้ว พี่แค่เป็นห่วงอนาคตวันข้างหน้าของเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกเดินทางไหน อีกอย่าง...น้ำหวานก็รู้ว่าพี่ออกความเห็นอะไรมากกับชีวิตเขาไม่ได้" คุณหมอหนุ่มมีสีหน้าสลดวูบเมื่อกล่าวถึงจุดนั้น แต่ครั้นจะพูดสาวไส้ออกมาหมดก็กลัวฝั่งอัญญดาจะเสียหายมากไปกว่านี้
"พี่หมอนี่แปลกคนนะคะ แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง ช่วยเหลือคนอื่นได้ทุกอย่าง แต่พอถึงคราวตัวเองกลับจนมุม" มิวายที่หญิงสาวจะออกปากเย้าแหย่
อัศม์เดชหันมายิ้มน้อยๆ ด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรให้ความอึดอัดผ่อนคลายลงได้บ้าง พูดไปก็ไม่ดี เก็บไว้ก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไรด้วยกำลังสมองเพียงลำพัง เขาเรียนแพทย์...แต่ลืมศึกษาเกี่ยวกับเส้นทางชีวิตตัวเอง ถึงได้มีแต่ความผิดพลาดมาตลอด
"กลับกันดีกว่าค่ะ ป่านนี้พี่ภูมิคงรอแย่แล้ว" หญิงสาวตัดบท...แล้วลุกเดินไปรับลูกออกมาจากรั้วสนามเด็กเล่น อัศม์เดชมองภาพนั้น
แต่มันแปลก...
ที่ความรู้สึกของเขาแตกต่างจากเดิมไปโดยสิ้นเชิง...