บทที่ 3 ตอนที่ 7

1375 Words
โครม! กระเป๋าสะพายใบขนาดพอเหมาะมือถูกเหวี่ยงลงบนที่นอน ก่อนที่ร่างเล็กในชุดทำงานแสนเซ็กซี่จะหย่อนตัวลงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ความรู้สึกยังมึนชาจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้แต่ว่ากำลังจุกไม่หายกับสิ่งที่ตาเห็นรวมถึงถ้อยคำที่ได้ยินจากปากของลีลาวลีก่อนหน้านี้ด้วย ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่เกินเลย...มันเกิดขึ้นมานานแค่ไหนแล้ว ทำไมเธอถึงไม่เคยผิดสังเกตเลยสักครั้ง แม้ในยามที่เข้าไปช่วยคลินิก หรือหลายครั้งที่พูดคุยกับฝ่ายหญิงสาว ก็ไม่เคยมีพิรุธใดๆ ให้เห็น หรืออาจเป็นเพราะเธอเองที่ไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก จึงถูกปิดหูปิดตามาโดยตลอด แล้วจู่ๆ สติก็สร่างซา...น้ำตาอุ่นๆ เริ่มไหลรินผ่านขมับทั้งสองข้าง อัศม์เดชเลวกว่าที่ใครจะคาดคิด การกระทำทั้งหลายแหล่ที่เขาทำกับเธอ มันยากจริงๆ จะกัดฟันยอมรับและให้อภัยง่ายๆ แม้ชายหนุ่มจะเป็นผู้อุปการะดูแลเธอมาตลอดก็ตาม แต่มันก็ชดเชยกันไม่ได้หรอกกับชีวิตของแม่ที่เสียไป และความสาวที่ควรจะติดตัวไว้ให้กับคนที่เธอรักและเต็มใจ ไม่ใช่ผู้ชายเห็นแก่ตัวร้อยเล่ห์ เป็นสมภารกินไก่วัดทั้งเล้าเช่นเขา... "น้ำมนต์จะเข้มแข็งนะแม่...น้ำมนต์จะไม่คิดมากเรื่องที่ผ่านมาแล้ว หนูคิดถึงแม่จังเลย..." ที่พึ่งทางใจหนึ่งเดียวแม้จะดูเคว้งคว้างเลื่อนลอยเพราะท่านจากไปนานแล้ว แต่มันก็พอจะเป็นกำลังใจให้เธอมีแรงสู้กับความโหดร้ายทั้งหลายแต่ที่ต้องเผชิญ ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูทำให้ร่างที่อ่อนระโหยลุกพรวดใช้มือปาดเช็ดน้ำตาหยาบๆ เพื่อนร่วมงานของเธอคนใดคนหนึ่งคงกลับมาแล้ว เพราะห้องนี้เปิดร่วมกันเฉพาะกิจในวันหยุด ซึ่งต่างก็ออกมาทำงานบ้างเที่ยวเตร่บ้าง ชดเชยวันที่มีเรียนหนักๆ จนแทบไม่ได้กระดิกตัวเพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะจบอย่างเป็นทางการแล้ว "รอเดี๋ยวนะ..." เธอพูดกับคนด้านนอกและลุกเดินไปเปิดประตูให้เมื่อเช็ดน้ำตาพอหมาดแก้ม แต่สีหน้านั้นยังแสดงถึงความอ่อนแรงหม่นหมอง "ทำไมกลับเร็วจังวะ..." ประตูเปิดอ้ากว้างต้อนรับผู้มาใหม่พร้อมคำทักทายที่แสดงถึงความสนิทสนม แต่เมื่อดวงตากลมโตได้แลเห็นถึงกับชะงักมือและรีบหุบประตูกลับ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว "พี่เช่าหอพักให้อยู่ แต่เธอกลับมานอนโรงแรมมันหมายความว่ายังไงน้ำมนต์!!" "ออกไปนะ มันเป็นเรื่องส่วนตัว หนูบรรลุนิติภาวะแล้ว กำลังจะเรียนจบแล้วด้วยคุณหมอไม่มีสิทธิ์ในตัวหนู!!" แรงน้อยนิดของเธอไม่อาจต้านอะไรอัศม์เดชได้เลย เขาผลักและดันประตูเต็มแรงเมื่อเธอยิ่งต่อต้าน ร่างเล็กจึงกระเด็นล้มไปกองกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว พลั่ก!! "โอ๊ย!" "น้ำมนต์!!" "ถอยไปนะคุณหมอ...อย่ามาแตะตัวหนู" อัญญดาสะบัดมือใหญ่ที่รีบเอื้อมส่งมาหวังประคองเธอให้ลุกยืน ผู้ชายตรงหน้าช่างร้ายกาจได้สารพัดวิธี อัศม์เดชหน้าถอดสีเมื่อเห็นอาการเจ็บที่ตนเองเป็นต้นเหตุ สายตาไม่ละจากใบหน้าตัดพ้อหม่นหมอง ก่อนจะถอนหายใจหยาบๆ ยกมือเท้าสะเอว เขาเองก็มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจต้องสะสางกับเธออยู่เหมือนกัน "ไหนบอกมาสิว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" "มันเรื่องของหนู คุณหมอเลิกยุ่งซะทีเถอะ ขอร้อง..." ดวงตาแดงก่ำข่มความเจ็บช้ำซากพยุงตัวเองลุกขึ้น แข็งใจสุดฤทธิ์ไม่ให้หลั่งน้ำตาออกมาประจานความอ่อนแอออกมาต่อหน้าเขา อัศม์เดชส่ายศีรษะระอาใจจะคาดคั้นเอาความจริงจากเด็กสาวที่แสนดื้อดึง "หวังว่าคงไม่มีใครเปิดห้องนี้ให้ใช่ไหม" เขาละมือข้างหนึ่งชี้ไปด้านข้างแต่สายตาจับจ้องมองหล่อน "หนูกับเพื่อนมาเช่าพักช่วงที่ทำงาน เพราะหอพักปิดเร็วทำงานเลิกดึกก็เข้าไม่ได้" หล่อนสะบัดหน้าสีดวงตาคมดุที่ทอประกายจับผิดนั้น สอดมือกอดตัวเองด้วยความระแวงหวั่น "ดี! ในเมื่อไม่คิดจะฟังที่พี่พูด งั้นเราก็ไม่ต้องรักษาข้อตกลงอะไรกันทั้งนั้นแล้วใช่ไหม" ข้อมือเล็กถูกจับบีบแรงและดึงเข้าหาร่างบึกบึน อัญญดาแข็งขืนทั้งที่รู้แก่ใจว่าไร้ผล จากนั้นก็ถูกลากออกจากห้องไปดื้อๆ "คุณหมอจะทำอะไรปล่อยหนูนะ!!!" "กลับบ้าน! เหลวไหลแบบนี้จะให้พี่ไว้ใจได้ยังไง" "หนูไม่ได้ทำอะไรผิด" "แต่น้ำมนต์ผิดคำพูดกับพี่! น้ำมนต์สัญญาว่าจะไม่มาทำงานบ้าๆ นี่อีกแล้วไง" คนตัวใหญ่เดินนำหน้าพลางจูงลากหญิงสาวหันมองกลับไปปราศรัยในบางคราว ในขณะที่เพ่งตั้งมั่นก้าวเท้าเร็วๆ เพื่อไปจากโรงแรมแห่งนี้ให้ทันใจ "ก็แค่ทำงาน! หนูไม่ได้ทำเหลวไหลอย่างที่คุณหมอคิด" "พี่ไม่ได้คิดน้ำมนต์...แต่พี่เห็น..." เขาหยุดตรงหน้าลิฟต์กดปุ่มเลือกชั้นที่ต้องการโดยสายไปถึง และยังไม่ยอมปล่อยมืออัญญดาง่ายๆ แม้เธอจะสะบัดบิดดึงเท่าใดก็ตาม ติ๊ง! "นี่คุณหมอคิดจะทำอะไร..." "ก็กลับบ้านไง!" ได้คำตอบเพียงเท่านั้นเธอก็ถูกลากเข้าไปในลิฟต์ และลงมายังชั้นล่างในที่สุด อัศม์เดชพาหญิงสาวผ่านหน้าเคาท์เตอร์ พนักงานดูตกใจไม่น้อย แล้วสายตากลมโตก็มองเห็นบางอย่างที่พอจะไขข้อกระจ่างว่าทำไมคุณหมอหนุ่มถึงได้ตามมาง่ายดายนัก "ขอบใจมากนะเคน..." นายตำรวจหุ่นสมาร์ตในชุดเต็มยศพยักหน้ารับคำกล่าวนั้น โดยไม่คิดยืดเยื้อช่วยเหลือเธอที่กำลังตกเป็นผู้ถูกกระทำ "เขาเป็นพี่น้องกันครับ...ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือแล้วก็ขอโทษที่ต้องทำให้ลำบากใจนะครับ" กิตติธัชหรือเคนบอกกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์พร้อมส่งรอยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเดินตามหลังสองร่างที่ฉุดกระชากลากถูกันไปนั้น "เพชร...แกทำเกินไปป่ะวะ น้องเขาโตแล้วนะเว้ย" "ผู้หมวดก็ร่วมมือกับคุณหมอด้วยสินะคะ..." อัญญดาหันขวับมาจ้องกิตติธัชอย่างเอาเรื่อง ดวงตาแดงก่ำสีหน้าบูดบึ้ง "น้ำมนต์ ไอ้หมอเพชรมันเป็นห่วง รวมถึงพี่แล้วก็ทุกๆ คนก็ห่วงเราเหมือนกัน..." "เธอน่ะตัวดี...ไม่ต้องพาลใส่คนอื่นเลย ฉันกลับก่อนนะเคน เอาไว้ค่อยคุยกัน" แล้วก็ฉุดมือเล็กให้เดินตามไปขึ้นรถที่จอดอยู่ริมฟุตบาต ผู้หมวดหนุ่มเองก็ได้แต่กุมขมับกับปัญหาอัดอั้นตันใจนี้ เขาเองรู้จักและสนิทกับทั้งสองคนเป็นอย่างดี และรับรู้ว่าด้วยว่าปัญหามันเกิดขึ้นเพราะอดีตที่แสนเจ็บปวดของอัญญดา แต่ในอีกด้านหนึ่ง...ก็มองเห็นความห่วงใยที่อัศม์เดชมีให้หญิงสาวเสมอมาเช่นกัน... รถคันงามเลี้ยวเข้ามาจอดด้านหลังตึกซึ่งดัดแปลงให้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย เป็นคลินิกไปด้วยในตัว อัญญดาเปิดประตูรถผลุนผลันลุกแล้วเดินออกปิดประตูแรงๆ ตามอารมณ์ที่ฉุนเฉียว เธอเดินอ้อมมายังประตูด้านข้างด้วยความเคยชินและลืมไปว่าตนเองไม่มีกุญแจเหมือนเช่นทุกๆ ครั้ง จึงยืนรอให้อัศม์เดชเลื่อนรถเข้าที่จอดเรียบร้อยเดินมาไขประตูบ้านเปิดให้ เมื่อปราการด่านประตูเปิดออก เธอก็ไม่รีรอที่จะย่างสามขุมเดินขึ้นบันใดไปยังห้องนอนของตนเอง อัศม์เดชมองตามด้วยความไม่พอใจ แต่ก็เท่านั้นแหละ เขาเริ่มรู้สึกว่าอัญญดาโตขึ้นมากแล้วจริงๆ เธอมีท่าทีต่อต้านที่หนักข้อกว่าเขาหลายเท่านัก นั่นอาจเป็นเพราะ... บาดแผลทางจิตในที่เขาเพียรซ้ำเติมให้สดใหม่อยู่เสมอนั่นเอง แต่จะให้ปล่อยมือไปทั้งอย่างนี้ตัวเขาเองก็คงทำไม่ได้ มันยิ่งจะทำให้รู้สึกผิดเท่าทวีคูณ 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD