บทที่ 4 ตอนที่ 2

2109 Words
"จีจี้วันนี้ผมรับตรวจแค่คนไข้ที่นัดไว้นะครับ..." คุณหมอหนุ่มเอ่ยปากบอกกับพยาบาลผู้ช่วยในขณะที่ทำการตรวจรักษาคนไข้ จีรดาพยักหน้าและวางข้อมูลประวัติส่วนตัวของคนไข้รายนั้นให้เขา            "คุณลุงต้องงดสูบบุหรี่เด็ดขาดเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นอาการหอบก็กำเริบขึ้นมาอีก ส่วนผลตรวจเนื้อเยื่อต้องรออีกหนึ่งสัปดาห์ แล้วผมจะให้เจ้าหน้าที่โทร.ไปบอกอีกที ระหว่างนี้ก็ทำตามคำแนะนำของผมสักหน่อย ออกกำลังกายบ้าง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามตารางที่ให้ไว้ อาจไม่ต้องเน้นรายละเอียดเป๊ะๆ ทุกอย่าง รับประทานยาให้ตรงเวลา เพราะมันจะมีผลต่อความอยากบุหรี่ของลุง"            "ครับคุณหมอ ขอบคุณมากครับ" ชายชราวัยหกสิบปลายๆ กล่าวขอบคุณแพทย์หนุ่มซึ่งเป็นผู้รักษาอาการเจ็บป่วยของตน จากนั้นจีรดาพยาบาลผู้ช่วยก็พยุงร่างผอมของเขาเดินออกจากห้องตรวจ สักพักเธอก็เข้ามาอีกครั้ง            "เหลือคนไข้ตามนัดอีกแค่สองคนค่ะ...วันนี้คุณหมอนัดไว้สามคน"            "อ๋อ...ไม่เป็นไร ปิดคลินิกเร็วหน่อยก็ดี ผมมีธุระต้องไปทำ อีกอย่างคุณกับลูกตาลจะได้เคลียร์เอกสารที่ค้างๆ ไว้ให้ผมด้วย"            "คุณหมอรีบไปไหนเหรอคะ ปกติจีจี้ไม่เคยเห็นปิดคลินิกก่อนเวลาสักครั้ง" จีรดาเอ่ยปากถามด้วยทำงานกันมาหลายปี นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่อัศม์เดชปล่อยปละละเลยเรื่องงาน เขามีตารางเวลาทุกอย่างเป๊ะๆ ตลอดเพื่อให้ตัวเองพร้อมเสมอสำหรับดูแลคนป่วย            "ผมต้องไปรับน้ำมนต์น่ะ วันนี้จะย้ายออกจากหอกลับมาอยู่นี่ด้วยต้องไปช่วยขนของ"            "อ่อ...เร็วขนาดนั้นเชียวคะ" ถ้าจำไม่ผิดเด็กในอุปการะของเจ้านายเธอเพิ่งจะย้ายไปพักที่หอไม่นานมานี้เองนี่นา            "อืม จริงสิ...ช่วงที่เบสลาหยุดคุณช่วยสอนงานลูกตาลทำหน้าที่แทนเบสด้วยนะ คุณจะได้ไม่ต้องวิ่งว่อนเหนื่อยอยู่คนเดียว ช่วงไหนที่มีคนไข้เยอะๆ เขาอาจจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก"            "โอเคค่ะคุณหมอ ว่าแต่ให้จีจี้ไปช่วยขนของไหมคะ" เธอเดินเข้าไปเก็บแฟ้มที่คุณหมอหนุ่มเซ็นเอกสารทุกอย่างเรียบร้อย แล้วเอ่ยปากถามตามมารยาท            "ไม่เป็นไรครับ...พอไหว อีกอย่างเดี๋ยวคุณก็มีปัญหากับเบสอีก"            "คุณหมอรู้..." จีรดายิ้มแหย เมื่อนึกถึงความหึงหวงของเพื่อนสาวที่มีต่อคุณหมอหนุ่ม จนเป็นเหตุให้ทั้งคู่ห่างกันพักใหญ่ คงไว้แค่ฐานะเจ้านายและลูกน้อง            "เอาเถอะ...มันไม่ใช่เรื่องใหญ่และผมก็รู้ว่าคุณบริสุทธิ์ใจ อีกอย่างผมกับเบสเราก็ไม่ได้พัฒนาไปไกลเกินกว่านั้น และผมก็ไม่อยากให้ต้องขุ่นข้องหมองใจกันในที่ทำงานอีกแล้ว ผมถึงอยากให้คุณช่วยสอนงานลูกตาล เพราะถ้าเบสเขาไม่ไหวผมก็คงรั้งไม่อยู่" สีหน้าของอัศม์เดชดูจะลำบากใจอยู่เล็กน้อย เมื่อนึกถึงคลินิกเล็กๆ ของตนที่เกิดคลื่นใต้น้ำอยู่บ่อยครั้ง ความสงบเริ่มสั่นคลอนลงทุกที            "อีกอย่าง น้ำมนต์ใกล้จบแล้วผมอยากให้เขามาทำงานที่นี่ด้วย" อาจเป็นเหตุผลหลักที่เขาเลือกเอ่ยเป็นคำตอบหลังสุด สีหน้าครุ่นคิดของอัศม์เดชทำให้จีรดาได้แต่พยักหน้าน้อมรับ มีอะไรบางอย่างที่อดจะเฉลียวใจไม่ได้ แต่เธอก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำ            "อีกครึ่งชั่วโมงคนไข้จะมาอีกคนนะคะ เดี๋ยวจีจี้จะเตรียมเอกสารไว้ให้เลยดีกว่า หรือคุณหมออยากหาอะไรรองท้องก่อนไหมคะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว"            "ไม่ล่ะผมยังไม่ค่อยหิว" คุณหมอหนุ่มเหยียดยิ้มให้พร้อมคำตอบ เขารู้สึกผิดไม่น้อยหรอกกับการทำหน้าที่บกพร่องในวันนี้ แต่เพราะอยากหยุดความเสียหายเอาไว้ก่อนจะเลยเถิดเพราะความไม่มีสมาธิของตนเอง เขาจึงตัดสินใจหยุดพักผ่อนสมอง อีกทั้งยังมีงานอื่นต้องทำอีก            นั่นคือการกำราบเด็กดื้อที่ช่างหัวรั้นและหนักข้อกับเขาเข้าไปทุกที... "แกนี่มันซวยจริงๆ เลยนะน้ำมนต์ ไปทำอีท่าไหนพี่หมอจับได้เนี่ย" แพรวพรรณวางหนังสือ และก้าวขาคร่อมเก้าอี้ม้าหินอ่อนแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ เพื่อนสาว            "จริงๆ ฉันก็รู้นะว่าเขาชอบไปนั่งร้านนั้น...ซวยที่ฝ่ายตลาดมีแพลนให้ไปลงประชาสัมพันธ์ที่นี่นั่นพอดี"            "ก็เลยถูกเขาหิ้วปีกกลับถ้ำ..." แพรวพรรณต่อประโยคให้ เธอถอนหายใจหนักหน่วงกับเส้นทางชีวิตของเพื่อนสาว ที่แม้ไม่มีครอบครัวแต่กลับเป็นเสมือนนกในกรงทอง เมื่อผู้อุปการะทั้งหวงทั้งห่วงยิ่งกว่าแม่จงอาง            "ฉันไม่มีทางเลือกอ่ะแพรว ถ้ายังเรียนไม่จบ...ก็ต้องพึ่งพาเขาวันยังค่ำ"            "ทั้งที่แกก็หาเงินเองได้ ส่งเสียตัวเองได้อย่างนั้นเหรอ" สาวสวยในชุดนักศึกษายังคาดคั้น เนื่องด้วยเธอไม่อยากให้อัญญดาทนต่อความอึดอัดกลัดกลุ้มใจ กับการต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ทำให้มารดาต้องจากไป            "ฉันหาเงินเองได้...แต่ถ้าออกจากบ้านคุณหมอ ฉันต้องรับผิดชอบตัวเองทุกอย่าง ฉันไม่เก่งเหมือนแกนะแพรว...ทั้งทำงานทั้งเรียน ถ้าทุกๆ วันฉันก็ไม่ไหว" หญิงสาวพยายามคิดค้นเบื้องลึกควานหาเหตุผลที่แท้จริง ว่าเหตุได้กันแน่ที่เธอยอมทนต่อความทุกข์ยากเหล่านั้น แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกปากให้ใครฟังได้            "แกเคร่งกับเรื่องเรียนมากเกินไปไงน้ำมนต์ จนไม่มีเวลาคิดอย่างอื่น วางแผนอย่างอื่นให้กับตัวเองบ้างเลย"            "การเรียนให้ดี เรียนให้จบ...เป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะทำให้แม่ภูมิใจได้" เพราะแรงใจหนึ่งเดียวที่ทำให้เธออยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็คือท่านนั่นเอง            "ขนของออกจากหอแล้วเหรอ" แพรวพรรณถามต่อเชิงอยากให้อีกฝ่ายระบายความในใจออกมาบ้าง            "จะขนเย็นนี้แหละ"            "เออดี...มาเช่าหอเหมือนมาพักร้อน ได้สองอาทิตย์กลับไปตายในถ้ำเหมือนเดิม"            "ฉันจะอดทนแต่ให้เรียนจบเท่านั้น...อีกแค่สองสามเดือนแล้วนะแพรว" สีหน้าซีดเซียวบ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายเครียดจัดชัดเจน ยิ่งช่วงนี้มีหลายอย่างต้องเคลียร์ ต้องอ่านหนังสือ ต้องเตรียมตัวสอบ แล้วยังมาต้องมาเผชิญหน้ากับเรื่องอัปยศซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก จิตใจมันก็มีแต่จะทรุดโทรมซบเซา            "น้ำมนต์...ฉันถามอะไรหน่อยสิ..." แพรวพรรณร่นสายสะพายกระเป๋าออกจากบ่า มองหน้าเพื่อนที่ขะมักเขม้นจดจ่อกับการอ่านหนังสือแต่ดูก็รู้ว่าไร้สมาธิอย่างสิ้นเชิง            "ถามจริง...ระหว่างแกกับพี่หมอไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม"            อัญญดาชะงักกึก พยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ กลอกตาเหลือบแลเพื่อนสนิท            "แกคิดอะไรบ้าๆ น่ะแพรว" เป็นคำปฏิเสธสั้นๆ ที่กระแทกใจตัวเองอย่างจัง อะไรบนใบหน้ามันแสดงออกถึงขนาดให้แพรวพรรณวาดภาพไปได้ถึงเพียงนั้น            "เปล่า...แต่ช่วงนี้แกเครียดผิดปกติ บางทีก็ตกใจโดยไม่มีเหตุสมควร คือ...จากที่รู้จักแกมามันอาการหนักว่ะ"            "ใกล้จะจบ...ฉันก็เครียดสิ ไหนจะเรื่องหางานทำอีก"            "พี่หมอคงให้แกทำงานกับเขาที่คลินิกแน่ๆ ไม่เชื่อคอยดูสิ"            "ไม่มีทาง...เรียนจบวันไหน วันนั้นฉันกับเขาจะสิ้นสุดกัน" น้ำเสียงนั้นค่อนข้างแน่วแน่ คนพูดกลืนน้ำลายลงคอก่อนจะพยายามตั้งสมาธิอ่านหนังสือตรงหน้าต่อ หญิงสาวรู้ว่าสมองตัวเองแบกรับหลายสิ่งที่หนักอึ้งเกินกำลังใจ เธอจึงต้องยิ่งทบทวนบทเรียนให้หนักกว่าเก่า เพราะการรับรู้จดจำไม่ได้มีประสิทธิภาพมากพอแล้ว สำหรับการเรียนรู้ตามปกติ            "เฮ้ย! พี่หมอมาแน่ะ" แพรวพรรณยิ้มแฉ่งทักทายบุรุษร่างใหญ่ที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมด้วยตำรวจในเครื่องแบบอีกนาย            คนตัวเล็กมองตามเสียงบอกกล่าวของเพื่อน แล้วก็ต้องหลบหน้าใจฉับพลันเมื่อเห็นว่าเป็นเขาจริงๆ ร่างกายร้อนวูบขึ้นมาถึงใบหน้าจนรู้สึกได้ ภาพความสัมพันธ์เมื่อช่วงเช้าของวันลอยเข้ามาในหัว ทั้งที่เธอพยายามผลักดันไม่จดจำ            แต่รอยกอด รอยอาลัยยังฝังตรึง...ความอุ่นซ่านที่ซบซุกเคียงข้างบนเตียงเดียวกันยังไม่จางหาย อัศม์เดชอ่อนโยนจนบทบาปที่เขาประทับยัดเยียดเอาไว้ก่อนหน้าแทบถูกหลงลืม            "พี่หมอสวัสดีค่ะ..." แพรวพรรณยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าพร้อมกันนั้นก็ไหว้อีกคนที่มาด้วยกันด้วย แม้จะไม่รู้จักก็ตาม เธอยิ้มน้อยๆ เป็นการทักทายตามมารยาทและโดยส่วนตัวก็เป็นคนอุปนิสัยเฟรนลี่อยู่แล้ว            แต่...            "สวัสดีครับแพรว...พี่มารับน้ำมนต์เราต้องเก็บของในห้องกันแล้วล่ะ เดี๋ยวจะสาย" มีแต่อัศม์เดชเท่านั้นที่รับไหว้เธอ นายตำรวจร่างใหญ่นั้นกลับเมินเฉยไม่แล เหมือนจงใจจะหักหน้าเธออย่างไรอย่างนั้น            "อ๋อค่ะ...แพรวก็กำลังจะกลับพอดี" สายตาจิกแบะปากใส่คนไม่คุ้นหน้าแวบหนึ่งก่อนจะปรับให้เป็นปกติ พร้อมกันนั้นก็เก็บสัมภาระเตรียมตัวอำลาอย่างเป็นทางการ            "เอ่อ แพรว...ไปช่วยฉันเก็บของหน่อยสิ นะ..." อัญญดาดึงชายเสื้อเพื่อนที่กำลังลุกแล้วกระตุกดึง ด้วยไม่รู้สึกลำบากใจที่ต้องไปไหนมาไหนลำพังกับคุณหมอหนุ่ม            "ง่ะ...ไรแก ฉันมีงานเย็นนี้ นี่ก็สามโมงแล้วนะเดี๋ยวไม่ทัน"            "เหอะน่า แป๊บเดียวเองของไม่ได้มีเยอะแยะ....เดี๋ยวให้คุณหมอไปส่งที่ทำงานโอเคป่ะ" หญิงสาวยื่นข้อเสนอ ส่งซิกทางสายตาที่เพื่อนสนิทย่อมอ่านออก            "อือ ก็ได้แต่ถ้าสี่โมงยังเก็บของไม่เสร็จฉันต้องกลับก่อนนะ"            "ตกลงกันได้แล้วใช่ไหมสาวๆ ถ้างั้นไปกันเถอะจะได้ไม่เสียเวลา ออ...พี่ลืมแนะนำ แพรวครับนี่เคน เพื่อนพี่เอง ปกติประจำอยู่ต่างจังหวัดนี่ก็เพิ่งย้ายมากรุงเทพฯ"            นายตำรวจพยักหน้ายิ้มนิดๆ ด้วยขัดไม่ได้ คราวนี้อีกฝ่ายทำเมินกลับเอาบ้าง เป็นสงครามประสาทย่อมๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ            "ไปกันเถอะแพรว..." อัญญดาเก็บหนังสือและกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะพร้อมเอ่ยปากชวนเพื่อนสาว แต่ถูกอัศม์เดชชิงตัดหน้าเอาสัมภาระทุกอย่างของเธอไปถือไว้เสียก่อน หญิงสาวเผลอเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมสันด้วยความขัดใจ และต้องรีบหลบเมื่อเขาจ้องกลับ            "..." มือเล็กหันมาจูงมือเพื่อนสนิทและพาเดินกันไปโดยไม่สนใจสองหนุ่มอีก อากัปกิริยาดังกล่าวไม่ได้หลุดรอดสายตาของมือที่สามและที่สี่ไปได้ ในฐานะเพื่อนสนิทย่อมเล็งเห็นถึงความไม่ปกติ            "น้ำมนต์เป็นอะไร...หรือทะเลาะกันเรื่องเมื่อคืนนั้น" กิตติธัชเอ่ยปากถามในขณะที่พากันเดินตามหลังหญิงสาวทั้งคู่ เขาพอรู้มาคร่าวๆ เรื่องที่อัญญดาแอบหนีไปทำงานล่อแหลม โดยมีเพื่อนสนิทอย่างแพรวพรรณเป็นคนชักจูง แต่บางอย่างมันเหมือนไม่ใช่แค่เรื่องมีปากเสียงกันธรรมดาๆ            "ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่อยากเป็นอิสระ"            "หึ...หลงแสงสีซะแล้วเด็กแกไอ้หมอ ดูแม่เพื่อนตัวแสบนั่นใช่ย่อยเลยนะ ทั้งหน้าทั้งตัวผ่านมีดมาชัดเจน"            "ไม่เกี่ยวกับแพรวหรอก น้ำมนต์เขาเกลียดฉันและหาทางออกให้ตัวเองมานานแล้ว" เสียงทุ้มลึกของอัศม์เดชส่อถึงบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในใจเช่นกัน เขามองหลังเล็กแคบนั้นด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม...            "เออ เรื่องในครอบครัวไม่อยากยุ่งว่ะ...แล้วนี่ทำไมต้องลากข้ามาด้วยไม่ทราบ"            "ไม่อยากให้เขาลำบากใจน่ะ ถ้าต้องไปไหนมาไหนกับฉันสองต่อสอง ไม่คิดว่าเขาจะชวนแพรวไปด้วยกัน แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วแกมาด้วยเลยเดี๋ยวเลี้ยงข้าว"            กิตติธัชพยักหน้ากลั้วหัวเราะ กอดคอเพื่อนในขณะที่ทุกคนเดินมาขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างเท่าไหร่...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD