อัญญดาได้เข้ามาทำงานในคลินิกในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน และเมื่อมีเวลาว่าง แม้ว่าเธอจะไม่ใคร่เต็มใจนักก็ตาม อัศม์เดชต้องการให้หญิงสาวฝึกงานในคลินิกให้คล่อง และอีกไม่กี่วันเมื่อเธอเรียนจบก็จะได้เข้ามาทำงานที่นี่เสียเลย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ราบเรื่อย...ชายหนุ่มไม่เคยกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง หอบขนเสื้อผ้าและของใช้มาพำนักกับเธอ เสมือนจะปิดตายห้องนอนนั้นไปเสียเลย
หญิงสาวทำใจเรื่องภรรยาของเขา ด้วยนึกไปว่าคงแยกกันอยู่ไปนานแล้ว ตัวเธอไม่เคยถาม...ไม่เคยแสดงอาการอยากรู้อยากเห็น เพราะกลัวคำตอบมันจะย้อนกลับมาห้ำหั่นบั่นทอนเสี้ยวชีวิตที่เหลืออยู่
อย่างน้อย...มธุรสก็ไม่เคยมาวุ่นวาย ไม่เคยแสดงตัวว่ายังอยู่กินฉันผัวเมียกับอัศม์เดชเลย ตั้งแต่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่ ก่อนหน้าไม่เคยนึกสนใจเพราะความบาดหมางอาฆาต แต่พอความสัมพันธ์ผิดบาปเกิดขึ้น เธอก็เริ่มสังเกต คอยเก็บรายละเอียดเท่าที่จะทำได้ ตามวิสัยของลูกผู้หญิง
แต่ก็ใช่ว่าเธอจะพอใจในฐานะซึ่งตั้งอยู่บนความผิดศีลธรรม ขอเพียงทุกอย่างลงตัว เธอได้เรียนจบ...และหากความจริงมันถูกเปิดเผยขึ้นมาก็พร้อมจะเดินจากไป ไม่เคยคิดอยากเป็นมือที่สามทำให้ครอบครัวของเขาพังพินาศเพราะความไม่รู้จักพอ
วันนี้เลิกเรียนเร็วเพราะวิชาที่ลงเรียนไว้เริ่มทยอยสอบเก็บคะแนนไปบ้างแล้ว เธอและแพรวพรรณที่กลับมาจากทำงานต่างจังหวัดตามคำบอกกล่าวจึงมานั่งรับประทานอาหารที่ซุ้มประจำ
หลังๆ แพรวพรรณดูแปลกไป ไม่ร่าเริง ไม่ช่างคุยเหมือนเมื่อก่อน ร่างกายก็ดูซูบซีดจากที่ผอมอยู่แล้วก็ดูเหมือนจะผอมหนักกว่าเก่า อัญญดาสรุปใจได้ว่าคงเป็นเพราะความเครียดจากเรื่องเรียนและเรื่องงาน เนื่องจากแพรวพรรณต้องส่งตัวเองเรียน เธอทำงานอย่างหนัก และเรียนอย่างหนักในขณะเดียวกัน
อีกทั้ง...ยังมีแม่ที่สุขภาพไม่ดีนักต้องดูแลเป็นระยะๆ ด้วย
"เดี๋ยวให้คุณหมอไปส่งก็ได้นะแพรว คงใกล้มาแล้วล่ะ" อัญญดาชวนคุยขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งทานผลไม้กัน แพรวพรรณเหลือบตาทำท่าลำบากใจเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเราให้คุณหมอส่งแค่หน้าโรงพยาบาลก็ได้ บอกว่าแพรวไปทำธุระ"
"ฉันไม่ได้อายหรอกน้ำมนต์ แต่เกรงใจคุณหมอไปคนละทางกันด้วย" หญิงสาวยิ้มเจื่อน สีหน้ายังคงไม่สู้ดีนัก
"คุณหมอเขาเต็มใจอยู่แล้วล่ะ นะ..." อัญญดายังพยายามคะยั้นคะยอ
"แก...เดี๋ยวนี้แกกับพี่หมอสนิทกันจังเลยนะ ตัวติดกันยังกะตังเม เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า" แทนที่จะตอบคำถามหรือรับปาก แพรวพรรณกลับจับสังเกตอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อ้ำอึ้งเหมือนกัน
"เอ่อ..." ติ๊ดๆ ตี๊ดๆ! เสียงโทรศัพท์ดังช่วยชีวิตเสียก่อน อัญญดาเหยียดยิ้มไม่ใคร่เต็มดวงหน้านักก่อนจะหันไปคว้าเอาเครื่องมือสื่อสารมากดรับสาย เธอคุยกับปลายสายเพียงชั่วครู่ก็กดวาง
"คุณหมอกำลังจะมา วันนี่คุณเคนติดรถมาด้วย...ไปหาอะไรทานกันไหม พวกเขาให้ฉันชวนเธอ"
ใจสาววาบแปลบเมื่อได้ยินชื่อนั้น หน้าถอดสีทันทีด้วยความไม่พอใจจนอัญญดางงงวย จากที่เห็นมาหลายต่อหลายครั้งเหมือนทั้งกิตติธัชและแพรวพรรณกำลังมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกัน ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่าจะคิดถูกหรือเปล่า หรืออาจแค่คิดมากไป
"ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนเลยนะ อยากไปอยู่กับแม่นานๆ วันนี้ไม่มีงานด้วยเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน" ว่าแล้วสาวเจ้าก็ลุกพรวดจากที่นั่งคว้ากระเป๋าสะพายพาดบนบ่า กล่าวอำลาเพื่อนรัก
"แพรวเดี๋ยว! ทำไมรีบนัก"
"ก็บอกแล้วไงว่าอยากไปอยู่กับแม่นานๆ หน่อย เย็นๆ แบบนี้รถติดน่ะน้ำมนต์ ไม่เป็นไรหรอกฉันไปได้ ชินแล้ว..." หญิงสาวไม่รอช้าที่จะให้เพื่อนยื้อไว้อีกรอบ เธอหันหลังและรีบสาวเท้าสู่ถนนเร่งเดินให้ไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
"แพรว..." อัญญดาลุกยืนมองตามเพื่อนที่รีบเหมือนกำลังหนีเสือหนีจระเข้อย่างไรอย่างนั้น เธอถอนหายใจกับท่าทีแปลกๆ ของแพรวพรรณในระยะนี้ แต่ก็ไม่กล้าออกปากถามตรงๆ อันเนื่องมาจากพอจะรู้พื้นฐานความลำบากของกันและกันบ้างอยู่แล้ว
กลายเป็นว่าหญิงสาวต้องนั่งรออัศม์เดชมารับอยู่คนเดียว แต่ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างใหญ่สองร่างที่จอดรถไว้ริมฟุตบาตก็เดินตรงมาหาเธอ
"อ้าว! แพรวล่ะน้ำมนต์" กลายเป็นกิตติธัชที่เอ่ยปากถามหาหญิงสาวอีกคนโดยยังไม่ได้กล่าวทักทายกันเลยด้วยซ้ำ
"แพรวกลับไปแล้วค่ะ...เขารีบ..." คนตอบยิ้มให้น้อยๆ ก่อนจะลุกและทำท่าจะรวบเก็บหนังสือ แต่อัศม์เดชก็มาคว้าช่วยถือไปเสียก่อนพลางเอ่ยปากหยอกกัดเพื่อนทีเล่นทีจริง
"แกนี่อะไรกับน้องแพรววะไอ้เคน...เห็นถามหาแค่เขาตลอด จะจีบรึไง..."
นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเครียด แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ จนอัญญดาและอัศม์เดชมองตากันด้วยความสงสัย เพราะความใกล้ชิด ดังนั้นเมื่อมีอะไรผิดแผกบ่อยๆ จึงมักเป็นที่สังเกต
"เขารีบไปไหนของเขาครับ พี่มีเรื่องจะคุยกับแพรวหน่อย...เรื่องสำคัญด้วย" ใช่...เขาตามตัวเธอและดักรอพบมาตลอด ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายก็พยายามเต็มที่ในการหลบหลีกมาโดยตลอดเช่นกัน เธอทำทุกทางแม้แต่ย้ายคอนโด ถามว่าความสามารถของเขาจะเข้าถึงตัวแพรวพรรณแบบง่ายๆ นั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นด้วยมีหน้าที่การงานในการอำนวยความสะดวก
แต่หากทำเช่นนั้นก็เหมือนการซ้ำเติมตัวเองให้แพรวพรรณยิ่งเกลียดกับการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบของเขาเข้าไปอีก
"มีอะไร...ฝากน้ำมนต์เอาไว้ก็ได้ค่ะคุณเคน"
"พี่อยากคุยกับแพรว อีกไม่กี่วันเขาจะเรียนจบแล้วพี่ก็กำลังจะไปทำคดีต่างจังหวัดด้วย น้ำมนต์บอกพี่ได้ไหมว่าแพรวไปไหน" กิตติธัชคาดคั้นหน้าตาจริงจัง
"ดูเคร่งเครียดไปนะเคน"
"ก็นิดหน่อย...ว่าไงครับ พี่รับรองว่าไม่ทำความเดือดร้อนอะไรให้แน่ๆ"
"แพรวไป...โรงบาลค่ะ"
"เขาไม่สบายเหรอ...เป็นอะไรมากหรือเปล่า ถ้างั้นน้ำมนต์รู้ไหมว่าแพรวย้ายที่พักไปอยู่ไหน"
"คุณเคนรู้ด้วยเหรอคะว่าแพรวย้ายคอนโด" อัญญดาเริ่มแปลกใจหนักเข้าเมื่ออะไรๆ ก็ส่อพิรุธไปหมด
"ก็...เคยไปส่งครั้งหนึ่งเขาบ่นๆ ว่าจะย้ายน่ะครับ" เขาปด
"อ่อ...น้ำมนต์ไม่ทราบหรอกค่ะเรื่องที่อยู่ใหม่เพราะยังไม่เคยไป แล้วแพรวไม่ได้เป็นอะไรหรอกแต่..." เธออึกอักไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไรให้ดูไม่น่าเกลียดมากที่สุด ด้วยไม่ไม่ใช่เรื่องของตัว ครั้นจะสอดมือเข้าไปวุ่นวายมากๆ ก็ไม่รู้แพรวพรรณจะคิดอย่างไร แต่หากไม่ช่วยเหลือก็ดูเหมือนกิตติธัชเองก็คงมีธุระสำคัญจริงๆ เธอไม่เคยเห็นเขาแสดงท่าทีร้อนรนเท่านี้มาก่อนเลย
"งั้นเราไปหาแพรวที่โรงพยาบาลได้ไหมน้ำมนต์ ไอ้หมวดมันคงมีเรื่องจะคุยกับแพรวจริงๆ" อัศม์เดชช่วยเสริมด้วยเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากจะไปดักรอเพื่อนของหญิงสาว เพราะต่างก็สนิทคุ้นเคยกันดี
"ก็ได้ค่ะ...ถ้างั้นหนูขอโทร.หาแพรวก่อนนะคะจะได้นัดเจอกันถูก" หญิงสาวกล่าวพลางล้วงหยิบโทรศัพท์ไหนกระเป๋าอีกครั้ง ในขณะที่สองหนุ่มยืนมองจดจ่อ กิตติธัชคิดว่าอย่างน้อยตอนนี้ก็มีอัญญดาที่คอยเป็นสื่อให้เขาได้อยู่
"แพรวไม่รับสายค่ะ...คงลืมเปิดเสียงเพราะเวลาเรียนแพรวจะปิดเสียงตลอด พวกติดต่องานชอบโทร.มากวนค่ะ"
"อืม...ถ้างั้นแพรวไปโรงพยาบาลไหนล่ะเดี๋ยวเราไปหาที่นั่นก็ได้ วันนี้คลินิกปิดเพราะทาสีใหม่ เราสองคนมีเวลาเหลือเฟือ" ว่าแล้วก็ส่งยิ้มกริ่มให้สาวเจ้าจนอีกฝ่ายผิดสายตาหลบแทบไม่ทัน
"ไป...ไปโรงพยายาลศรีธัญญาค่ะ"
"..." สองหนุ่มมองเธอด้วยอารมณ์เดียวกัน คืออึ้งและแปลกใจว่าทำไมแพรวพรรณถึงต้องไปยังสถานที่รักษาเฉพาะบุคคลเช่นนั้นด้วย
"แพรวเป็นอะไรเหรอน้ำมนต์" กิตติธัชเอ่ยปากถามเสียงอ่อน นึกปรามใจให้สงบและพร้อมจะรับฟัง เพราะหากสาเหตุมันเกิดขึ้นเพราะเขา ชายหนุ่มคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติ...เขาคงให้อภัยตัวเองไม่ได้อีกเลย
"แพรวไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แพรวไปเยี่ยมคนอื่น...อย่าถามน้ำมนต์อีกเลยนะคะ ถ้าจะไปก็ไปกันเถอะ ถ้าถึงเวลาที่ควรรู้ทุกคนก็คงรู้กันเองนั่นแหละ เพราะแพรวก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับทั้งเพื่อนๆ และอาจารย์หลายคนก็ทราบ แต่น้ำมนต์ไม่อยากให้ได้ยินจากปากน้ำมนต์เท่านั้นเอง นะคะคุณเคน..."'
"คระ...ครับ..."
"อืม...ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ..." อัศม์เดชเป็นอีกคนที่ได้รับฟังแล้วคาดไม่ถึง เพราะอัญญดาเองไม่เคยเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย เขาจึงรู้แค่เพียงว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก และแพรวพรรณก็เป็นเด็กดี ทำงานเก่ง ส่งเสียเลี้ยงดูตัวเองด้วยความขยัน
เขาไม่เคยนึกดูแคลนในอาชีพที่แพรวพรรณดิ้นรนขวนขวายจะทำ แต่หากเป็นอัญญดามันคนละกรณีกัน อัญญดามีเขา จึงไม่จำเป็นต้องสรรหาความเสี่ยงต่อความเลวร้ายของโลกภายนอกขนาดนั้น