“รู้ซิก็เป็นของโปรดรินนี่ฮะ” เขายิ้ม “เมื่อไหร่รินจะใจอ่อนกับนัทซะทีละฮะ”
“นัทก็รู้อยู่แล้วว่ารินคิดยังไงกับนัทนี่ค่ะ”
“แต่นี่ก็สี่ปีแล้วนะฮะ รินยังไม่เห็นความจริงใจของนัทอีกเหรอ”
“เท่าที่รินเห็นมาตลอดสี่ปีคือความเป็นเพื่อนที่ดีค่ะ แล้วก็เห็นนัทมีผู้หญิงเยอะแยะแทบไม่ซ้ำหน้ากันเลยด้วย”
“ก็ถ้าเมี่อไหร่ที่รินยอมเป็นแฟนนัทน่ะ นัทก็จะไม่มีใครมีแต่รินคนเดียวเท่านั้น”
กีณรินหัวเราะเสียงใสแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ค้ายกบะหมี่มาเสิร์ฟ นัทธีเลื่อนถาดเครื่องปรุงให้กีณรินแล้วใช้ตะเกียบคีบหมูแดงในชามของตนเองใส่ชามของหญิงสาว
“กินเยอะๆ รินผอมไปน่ะ”
“รินอ้วนได้แค่นี้แหละ”
เธอจัดการบะหมี่ตรงหน้าโดยไม่ห่วงว่าต้องแสร้งทำสวยตลอดเวลา กีณรินยอมรับว่านัทธีดูแลเธอดีมาตลอดสี่ปีที่เรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกันแต่เธอก็ไม่เคยคิดกับเขาเป็นอื่นนอกจากเพื่อนชายคนหนึ่งเท่านั้น มีบางครั้งที่เธอรู้สึกว่าเขาพร้อมจะฉวยโอกาสกับเธอทุกเวลาทำให้เธอยังคงระแวงเขาอยู่
“รินสมัครงานที่ไหนไว้บ้างแล้วฮะ ถ้าไงมีอะไรให้นัทช่วยบอกได้เลยนะ นัทรู้จักคนเยอะเผื่อบางทีจะช่วยฝากงานให้”
“ขอให้รินลองหางานเองก่อนดีกว่า ถ้าไม่ได้ยังไงจะรบกวนนัทเองแหละจ๊ะ”
“รบกวนที่ไหน นัทอยากช่วยรินจริงๆ” นัทธีแตะหลังมือของกีณริน แต่เธอชักมือกลับทันทีจนเขาต้องแก้เก้อด้วยการเกาศีรษะตัวเอง ทั้งสองจัดการบะหมี่ของตัวเองไปเงียบๆ ไม่นานก็เกลี้ยงชาม
“รินอิ่มแล้ว เรากันกลับเถอะ”
“ได้ซิ รินจะได้กลับไปพักผ่อนด้วย” นัทธีรีบชิงจ่ายเงินให้ก่อนที่กีณรินจะเปิดกระเป๋าสตางค์เสียอีก กีณรินเดินกลับไปขึ้นรถอีกครั้งโดยมีนัทธีรีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ก่อนอีกเช่นเคย
รถเก๋งญี่ปุ่นแล่นไปอีกราวๆ สิบห้านาทีก็ถึงอพาทเม้นท์แห่งหนึ่ง นัทธีทำท่าจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าของกีณรินไปส่งถึงหน้าห้องแต่เธอห้ามไว้ก่อน
“ไม่เหมาะคะนัท” เธอให้เหตุผล “แค่นี้รินก็ต้องขอบคุณนัทมากแล้ว”
ยังไม่ทันที่นัทธีจะเอ่ยร่ำลากีณรินก็ฉวยกระเป๋าในมือเขาแล้วเดินขึ้นมาที่ห้องพักของตัวเองทันทีโดยไม่หันไปมองเขาอีก ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจแล้วกลับขึ้นรถเก๋งของตัวเอง ภาพหญิงสาวในชุดนางรำยังคงเย้ายวนเขาอยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไว้มาเปิดดู สายตาเขาเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเบอร์เรียกเข้าจากเด็กสาวรุ่นน้องที่ชอบส่งสายตาหวานฉ่ำให้เขาบ่อยๆ เขาหัวเราะในลำคอก่อนจะกดโทรศัพท์โทรกลับ
“พี่นัทอยู่ไหนคะ ดาวโทรหาตั้งหลายครั้ง”
“พี่ติดงานที่บ้านอยู่ฮะ ดาวโทรหาพี่มีอะไรหรือเปล่าเอ่ย”
“ก็ ดาวอยู่บ้านคนเดียวค่ะ พ่อกับแม่ไปงานศพคุณย่าทวด ดาวกลัว พี่นัทมาอยู่เป็นเพื่อนดาวได้ไหมคะ”
“โอ๋เด็กน้อย ไม่ต้องกลัวนะฮะ พี่จะรีบไปหาเดี๋ยวนี้แหละ”
นัทธีกดวางสายโทรศัพท์แล้วกระตุกยิ้มที่มุมปาก เขาเหลือบมองทิศทางที่กีณรินเดินจากไปแล้วก็ได้ยักไหล่ก่อนจะพารถเก๋งของตัวเองไปหาเจ้าของเสียงหวานเมื่อครู่
“ช่วยไม่ได้นะริน ผมก็ผู้ชายที่มีเลือดมีเนื้อมีอารมณ์อยู่นะ”
กีณรินเดินมาถึงหน้าห้องพักแล้วไขประตูเข้าไปอย่างเบาที่สุดเพราะเกรงใจ ‘อรพิม’ รูมเมทที่พักห้องเดียวกันเธอ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับรองเท้าผู้ชายที่ถอดวางไว้อย่างไร้ระเบียง เธอวางกระเป๋าของตัวเองลงข้างประตูแล้วค่อยๆ เพ่งมองฝ่าความมืดในห้อง แต่ก้าวไปแค่สองก้าวก็เตะเข้ากับเสื้อตัวหนึ่งที่หล่นพื้น เธอก้มลงหยิบขึ้นมาเพ่งดูก็ตกใจเพราะเป็นเชิ้ตของผู้ชาย เสียงหอบหายใจแรงเคล้าเสียงกระเส่าของผู้หญิงทำให้เธอต้อวยกมือปิดปากอย่างตกใจ
“อร อร เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงการเคลื่อนไหวหยุดชะงักทันที และอีกไม่กี่วินาทีถัดมาร่างอวบอิ่มของอรพิมก็ก้าวออกมาจากด้านในซึ่งจัดไว้เป็นมุมห้องครัว อรพิมสวมเพียงเสื้อยืดตัวเดียวโดยที่ท่อนล่างมีเพียงกางเกงชั้นในลูกไม้สีดำปกปิดเท่านั้น
“ปกติกลับดึกกว่านี้ไม่ใช่เหรอ” อรพิมเท้าเอวมองหน้ารูมเมทของตัวเอง
“เอ่อ พอดีเพื่อนมาส่ง” กีณรินใจสั่นที่เห็นเพื่อนอยู่ในสภาพเกือบเปลือยของอรพิม “อรกินอะไรหรือยัง”
“กำลังกินกันอร่อยเลย”
เสียงชายหนุ่มดังมาก่อนจะเดินเข้ามา เขาสวมเพียงกางเกงยีนเปลือยอกเดินยิ้มกวนๆ แล้วยื่นมือไปจับเสื้อในมือของกีณรินมาสวมหน้าตาเฉยก่อนจะหันไปจูบแก้มเนียนของอรพิม
“หรือเราจะกินพร้อมกันสามคนดี”
“กลับไปก่อนเจฟรี่ เดี๋ยวอรโทรหา” อรพิมไล่พร้อมกับเบี่ยงตัวมายืนบังกีณรินทันที
“คนอย่างผมไม่ค่อยว่างบ่อยๆ หรอกนะ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอพลางสวมเสื้อและติดกระดุมอย่างใจเย็น เขาเอี้ยวตัวมองหญิงสาวที่ยืนหลบด้านหลังอรพิมแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ กีณรินทำตัวลีบเล็กลงไปไม่กล้าสบตาด้วยกว่าจะรู้ว่าชายหนุ่มแปลกหน้าสวมรองเท้าเสร็จและออกไปแล้วก็หลังเสียงปิดประตูลง
“อรนี่มันอะไรกัน คนเมื่อกี้ใคร” กีณรินถามเสียงสั่นแล้วเดินไปเปิดไฟในห้อง แล้วเธอก็ต้องตกใจเพราะข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว “มีขโมยเข้าห้องเราเหรอ”
“ยัยริน! อย่ามาทำบื้อนักเลย” อรพิมหงุดหงิด “มันก็รู้ๆ กันอยู่แล้วจะมาถามหาอะไรยะ”
“นี่อรจะเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลยเหรอ”
“เมื่อกี้หน่ะ! ดีเจเจฟรี่แห่งผับตองหนึ่งเลยนะยะ ไม่ใช่ใครจะควงมาขึ้นเตียงได้ง่ายๆ เสียทีไหนละ”
“อรทำไมทำตัวแบบนี้ละ ถ้าลุงพงษ์รู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน”
“จะให้รู้ทำไมละ” อรพิมยักไหล่แล้วเดินเข้าไปห้องนอนของตัวเอง “แล้วลุงพงษ์ของเธอมันก็พ่อฉันนะยะ ถ้ารินไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอก”
“แต่...”
“ไม่คุยแล้ว อารมณ์ค้าง จะไปนอนกล่อมตัวเองแล้ว” อรพิมปิดประตูดังโครมไม่สนใจว่ารูมเมทจะยืนเซ่อใบ้รับประทานแค่ไหน
เรื่องแบบนี้จะให้ลุงพงษ์รู้ได้ไงละ
กีณรินได้แต่ถอนหายใจหนักๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นอรพิมพาผู้ชายมาหลับนอนที่บ้านและก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเตือนลูกพี่ลูกน้องด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่เธอมุ่งมั่นเพื่อเรียนให้จบแต่อรพิมกลับใช้ชีวิตเกเรจนปีนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเรียนจบมหา’ลัย ทั้งเธออรพิมเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯพร้อมกันแต่นิสัยของทั้งคู่ต่างกันลิบลับ กีณรินทำงานทุกอย่างแม้จะได้เงินน้อยแต่ขอให้เป็นงานสุจริตเพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงินที่ลุงพงษ์เป็นคนจ่ายให้เธอแต่ในขณะที่ลูกสาวคนเดียวของลุงพงษ์กลับใช้ชีวิตสนุกสนานร่าเริงยามค่ำคืนไปวันๆ เธอไม่อยากให้ลุงพงษ์เสียใจแต่พยายามเตือนอรพิมกี่ครั้งๆ ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์
กีณรินก้มเก็บข้าวของที่เกะกะพื้น เอาเถอะ! พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่มีเรียนและไม่มีงานพิเศษ ซักผ้าแล้วค่อยทำความสะอาดบ้านก็แล้วกัน คืนนี้เธอก็เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรได้ไหวอีกแล้ว กีณรินบอกกับเองแล้วหิ้วกระเป๋าเข้ามาในห้องของตัวเอง จัดการเอาเสื้อผ้าชุดนางรำออกมาจากกระเป๋าเพื่อเตรียมซัก เธอเช็ดเครื่องสำอางบนหน้าอีกครั้งก่อนเตรียมตัวอาบน้ำไม่ว่าเหนื่อยแค่ไหนกลับมาถึงบ้านเธอต้องอาบน้ำให้ร่างกายได้ผ่อนคลายโดยเฉพาะล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดปกติเธอไม่ค่อยได้แต่งหน้านักนอกจากแป้งบางๆ ลิปมันสักนิดพรมน้ำหอมเล็กน้อย ส่วนผมยาวสลวยสีนิลก็ปล่อยเป็นธรรมชาติอย่างที่มันเคยเป็นมาตั้งแต่เกิด
หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างผ่อนคลายขณะก้าวขึ้นเตียงนอนของตนเอง เธอสวดมนต์ก่อนนอนแล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนช้าๆ แต่เรื่องของอรพิมยังกวนใจเธออยู่ ถ้าอรพิมคบใครสักคนเพียงคนเดียวเธออาจไม่กลุ้มใจแทนขนาดนี้ก็ได้ แล้วเธอละ? เมื่อไหร่จะมีใครสักคนนะ? แต่คนๆ นั้นคงไม่ใช่นัทธีแน่ๆ มีบางอย่างอย่างในตัวนัทธีที่เธอรู้สึกว่าเขา ‘ไม่ใช่’ คนที่เธอรอคอย มือเรียวเผลอยกขึ้นกอดกายตัวเองเมื่อนึกถึงสัมผัสจากวงแขนอบอุ่นและกว้างใหญ่ราวกับจะปกป้องเธอไปทั้งชีวิต รูปร่างสูงหนาจนเธอต้องแหงนหน้ามองเห็นใบหน้าคมเข้มแบบคนยุโรปและปลายคางมีเคราบางๆ แต่ดวงตาคู่นั้นของเขามีแววเศร้าฉาบอยู่จนน่าใจหาย
กีณรินหัวเราะเบาๆ ในลำคอ นี่เธอกำลังละเมอถึงผู้ชายที่เพิ่งเจอกันครั้งเดียวเองนะเหรอ? เขาก็แค่ลูกค้าคนหนึ่งในร้านเท่านั้น คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก
เพราะฉะนั้น...คงไม่เป็นไรที่คืนนี้เธอจะเก็บไออุ่นของเขามากอดนอนแทนหมอนข้างละนะ.