“ว่ามา จะหาเรื่องอะไรอีก ถ้าโกรธที่ถูกฉันชกเบ้าตาเขียวล่ะก็ขอโทษด้วยนะ พอดีว่าเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่” คิดว่าฉันกลัวหรือไง มีลูกไล่ติดตามมาด้วยตั้งสองคน ถ้าคิดจะรุมก็เข้ามาอย่างน้อยก็แค่เจ็บแล้วก็อย่าคิดว่าฉันจะยอมให้รุมง่ายๆ
“คุณปู่ให้คนมารับแกไปทำไม”
“อยากรู้ทำไมไม่ถามปู่เอง หรือว่า เบ้าตายังไม่หายเขียวก็เลยไม่กล้าเข้าไปเสนอหน้า” พูดจบฉันก็หัวเราะออกมาเสียงดังแบบไม่ห่วงความสวยของตัวเองจะลดน้อยลงไปเลย ก็มันสะใจนี่ ทำขนาดนั้นโรคอิจฉาก็ยังไม่หาย ต้องอีกข้างหรือเปล่า
“อยากให้คุณปู่มาเห็นแกตอนนี้จัง”
“ต่อหน้าลับหลังก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันอยากให้มาเห็นแกมากกว่า ต่อหน้ากับลับหลังเหมือนกันที่ไหน”
“อีญาริน”
“ปล่อยมันออกมากเลย อย่าอดทน อยู่กันแค่นี้หยุดคีฟลุกสักทีฉันไม่ชินเลย” ฉันกอดอกมองยัยมิลล์แล้วกระตุกยิ้ม
“อย่าเสียเวลาเลย”
“คุณหนูอย่างเธอเคยตบคนด้วยเหรอ อ่อ คงไม่เคย ถ้าเคยคงไม่ชวนเพื่อนแสนดีมาด้วยหรอกใช่มั้ย สองคนเลยเหรอ แล้วฉันจะสู้ได้มั้ยเนี่ย” การมีเรื่องทะเลาะวิวาทถึงขั้นลงไม้ลงมือกันในสถานศึกษามีความผิดอยู่แล้ว แต่จะให้ฉันทำยังไง โทรแจ้งตำรวจหรือวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ดีล่ะ นั่นไม่ใช่ฉันหรอก ไม่ใช่นิสัยของอีญารินคนนี้
“เอาเลยมิลล์” หนึ่งในสองคนพูดขึ้น
“ไปจับมันสิ” คิดเหรอว่าฉันจะยอมให้จับง่ายๆ ไม่ใช่ฉากตบตีในละครหลังข่าว แต่มันคือสถานการณ์จริงที่ฉันกำลังเผชิญ ฉันเลือกยกเท้าขึ้นสูงแล้วออกแรงดันอีคนแรกที่มันวิ่งเข้ามาจนล้มลงไปกองกับพื้น
“โอ๊ย มิลล์ยืนมองอะไรล่ะ จะให้คนมาเห็นก่อนหรือไง” คนล้มลงไปออกคำสั่ง ฉันไม่รู้จักยัยพวกนี้เลยสักคนเพราะไม่เคยใส่ใจ ขนาดไม่รู้จักกันก็ยังทำกันได้ลง
“ฉันไม่เคยทำอะไรให้พวกเธอ”
“กลัวหรือไง”
“ไม่ได้กลัว แต่แค่เป็นห่วงสวัสดิภาพ อย่าลืมสิว่าฉันก็ลูกหลานนามสกุลใหญ่เหมือนกัน แล้วที่สำคัญ ฉันคือหลานรักปู่ ไม่ใช่ยัยนั่น” ทั้งสองเริ่มลังเล คิดว่ายัยมิลล์ใหญ่คนเดียวหรือไงเอาสิฉันก็เบ่งได้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นใคร
“อย่าไปฟังมัน”
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาเธอต้องรับผิดชอบพวกเราด้วยนะมิลล์”
“ฉันจ่ายเพิ่มให้อีกสองเท่าเลย”
หลังจากได้ยินแบบนั้นฉันก็ถูกสองคนนั้นเข้ามาล็อกแขนเอาไว้แน่น พยายามดิ้นให้แรงที่สุดเอาให้หลุดออกไปให้ได้แต่ก็ยากเหลือเกิน
“รออะไรล่ะ ตบมันสิ”
เพี๊ยะ!
รู้สึกได้ถึงความแรงที่ถูกฝ่ามือฟาดลงมา แรงดีกว่าแม่ฉันอีก แบบนี้ยอมได้ที่ไหน แม่ยังไม่ตบฉันแรงขนาดนี้เลย
“นี่สำหรับที่แกก้าวร้าวแม่ฉัน”
“เอาอีกสิ แรงได้แค่นี้เองเหรอ”
“แกได้เจอแน่”
หลังจากนั้นฉันก็ถูกฝ่ามือของยัยมิลล์กระหน่ำตบไม่ยั้ง พวกมันสามคนหัวเราะชอบใจที่เห็นฉันมีเลือดออก
“อย่างแก จะสู้อะไรฉันได้ แกไม่มีอะไรสู้ฉันได้เลย”
“หึ” ระหว่างที่พวกมันกำลังได้ใจฉันก็ฮึดแรงที่เก็บไว้สะบัดแขนออกจากการถูกจับเอาไว้จนเป็นอิสระ
“ว้าย!”
“แกตบฉันไปกี่ที”
เพี๊ยะ
“โอ๊ย” อะไรก็หยุดฉันไม่ได้แล้วตอนนี้ คิดว่าขว้างก้อนหินมาแล้วฉันจะโยนดอกไม้กลับไปงั้นเหรอ
“อย่าเป็นเลยนะหมอ สงสารคนไข้”
เพี๊ยะ
“ยืนบื้อทำไมกัน ไปตามคนมาช่วยสิ” ฉันหันไปมองสองคนที่ยืนอึ้ง คิดไม่ถึงล่ะสิว่าฉันจะบ้าได้มากขนาดนี้
“อย่าเพิ่งไปสิ เพิ่งเริ่มเอง” ฉันเหมือนคนโรคจิตที่คลุ้มคลั่งไม่ฟังเสียง
“เร็วๆ”
เพี๊ยะ!
“นี่สำหรับที่จ้างคนมาช่วย นับจากนี้ต่อไปแกไม่ใช่ญาติฉัน”
ปึก!
ฉันกำหมัดแล้วอัดลงไปที่เบ้าตาอีกข้างที่ยังไม่เคยโดน
“อีญาริน”
“ญาริน ญารินหยุด”
รุ่นพี่มาจากไหนไม่รู้ พากันกรูเข้ามาดึงฉันให้แยกออกจากยัยมิลล์ หนึ่งในนั้นคือพี่ซีเจย์
“ไปฟ้องแม่ ฟ้องพ่อ เลยสิ”
“รีบไปจากตรงนี้ก่อนที่อาจารย์จะมา” พี่ซีเจย์รีบหิ้วฉันออกมาจากจุดเกิดเหตุ สภาพของฉันค่อนข้างสะบักสะบอมเหมือนกัน รู้สึกเจ็บหน้าเจ็บปากไปหมด
“ไปหาหมอเถอะ สภาพดูไม่ได้เลย” ฉันรีบส่ายหน้าทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ แผลแค่นี้ทายาก็หาย”
“เลือดออกขนาดนี้มันไม่เล็กเลยนะ”
“พี่ไปดูยัยมิลล์เถอะค่ะ” ฉันยกมือเช็ดเลือดที่ปากออก ถ้ายังไม่มีคนเข้ามาห้ามยัยมิลล์มันได้ตายคามือฉันแน่นอน
“ญาริน”
“ไม่ไปค่ะ”
ถ้าพาไปหาหมอต้องไปโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไปเกือบสิบกิโลเมตรถึงจะไม่เจอหมอกิต ฝ่าดงรถติดไปอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง แบบนั้นไม่เอาหรอก
“อย่าดื้อได้มั้ย พี่จะโทรบอกรุ่นพี่ที่รู้จักไว้ ไปถึงจะได้เข้าตรวจเลย”
จะอ้าปากเถียงก็รู้สึกเจ็บ พี่ซีเจย์พูดจบก็หยิบมือถือขึ้นมากดหารุ่นพี่คนนั้นที่พูดถึงทันที
“พี่ธนินว่างมั้ยครับ ผมจะพาน้องเข้าไปทำแผลฉีดยา” ธนินเหรอ หมอที่พี่ซีเจย์รู้จักชื่อธนิน
“โรงพยาบาลไหนคะ”
“ใกล้มอเรานี่เอง ปะ พี่นัดหมอให้แล้ว” ซวย! โรงพยาบาลใกล้มอ
ถ้าหมอกิตเห็นฉันสภาพนี้
_____________