เวลาบ่ายคล้อย เจ้าตัวน้อยของเธอนอนหลับใหล ส่วนคนเป็นแม่ก็กำลังจะเข้าสู่ห่วงนิทราตามลูกไป แต่ยังไม่ทันที่เปลือกตาจะปิด เสียงรถยนต์ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใครก็เคลื่อนเข้าสู่ตัวบ้านเสียก่อน เก็ตถวาจำต้องพาร่างและหนังตาที่หนักอึ้งเดินออกไปดู
“ทำไมวันนี้กลับเร็วจังคะ”
เมอร์เซเดสเบนซ์คันงามจอดต่อหลังรถเอสยูวีที่กวินทร์ยกให้เธอใช้ เมื่อหญิงสาวเห็นเจ้าของรถยนต์ที่ก้าวลงจากรถ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่าทำไมวันนี้ชายหนุ่มถึงได้กลับบ้านเร็วนัก ทั้งที่ก่อนจะออกไปทำงาน เขาบอกกับเธอเองว่าวันนี้อาจจะกลับดึก เพราะต้องขึ้นเวรต่อ
“พี่ขายเวรต่อให้เพื่อนน่ะ วันนี้เหนื่อย เลยชิ่งกลับบ้านก่อน”
ความจริงเขาไม่ได้เหนื่อยอะไรนักหนาหรอก แค่อยากจะกลับมาเล่นกับเจ้าตัวเล็ก ไม่รู้ว่าจะเรียกเห่อลูกหรือเรียกว่าอะไร แต่คุณพ่อทั่วไปคงจะมีอาการติดลูกแจไม่ต่างจากเขาหรอกมั้ง
“ตอนแรกแก้มก็ตกใจหมด นึกว่าเสียงรถใครมา เห็นพี่ภีมบอกว่าวันนี้จะกลับดึกนี่คะ”
หญิงสาวรับกระเป๋าของเขามาไว้ในมือ ก่อนจะเดินเคียงคู่กันเข้าบ้าน
“เดี๋ยวพี่ส่งตารางขึ้นเวรให้ ส่วนวันเสาร์และวันอาทิตย์ พี่รับงานที่คลินิกเสริมความงาม ตั้งแต่บ่ายสองถึงสองทุ่ม แต่ถ้าวันธรรมดาไม่มีหมอเข้าคลินิก พี่อาจจะต้องเข้าแทนบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอก”
“พี่ภีมทำงานหนักขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“นิดหน่อย แต่สบายกว่าสมัยที่พี่กำลังเรียนเฉพาะทางเยอะ”
กวินทร์เอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวเล็กที่ทำหน้าทำตาราวกับสงสารเขาเสียเต็มประดา
“พี่ภีม!”
“ครับผม”
ดู๊ดู! ขยี้หัวจนผมคนอื่นยุ่งเหยิง ยังทำหน้ายิ้มกริ่มอีก เดี๋ยวแม่ก็จิ้มตาซะหรอก
“เห็นไหมว่าผมแก้มยุ่งหมดแล้ว”
คุณหมอหนุ่มกลั้วขำ เมื่อเห็นแม่ตัวเล็กทำตาคว่ำ
“เอาน่า.. แล้วนี่เกี่ยวก้อยล่ะ”
“นอนกลางวันอยู่ค่ะ พี่ภีมกินอะไรมาหรือยัง หิวไหมคะ”
“พี่กินมาจากโรงพยาบาลแล้วแหละ ช่วงเย็นๆ พี่ต้องออกไปคลินิกอีก วันนี้หมอคนที่เข้าตรวจประจำ เขาไม่ว่างน่ะ”
เก็ตถวาพยักหน้าตอบรับ ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่ของเด็กหญิงกานต์พิชญาจะเดินเข้าบ้านแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนที่ปูกับพื้น ซึ่งตอนนี้มีเจ้าของร่างอวบป้อมจับจองเป็นเจ้าของและกำลังนอนหลับอุตุอยู่
“ตอนหลับกับตอนตื่นไม่เหมือนกันเลยเนาะ”
คนเป็นพ่อมองลูกสาวแล้วนึกถึงช่วงเวลาที่เจ้าตัวแสบป่วนตัวเอง
“แก้มว่าคงจะเหมือนพี่ภีมตอนเด็กแน่ๆ เลย โคตรแสบ”
“ไม่นะ พี่ว่าเหมือนแก้มมากกว่า ตอนเด็กๆ พี่เรียบร้อยจะตาย”
“ไม่ๆ แก้มเรียบร้อยแบบโคตรๆ ตอนเด็กๆ แก้มใส่ชุดไทยนั่งทำขนมกับคุณยายอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ออกไปซนที่ไหนเลยนะจะบอกให้”
คนที่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูดออกมา ทำหน้าประมาณว่า... ‘จริงเหรอ’
“ถามจริง?”
เก็ตถวาส่ายหัวหงึกๆ มันจะจริงได้ไงเล่า ตอนยังเป็นเบบี๋ เธอเรียกได้ว่าซนจนถึงขั้นแสบเลยก็ว่าได้
“ไม่จริงอะ แก้มก็ซนตามประสาเด็กๆ แหละพี่ภีม”
“นั่นไง! พี่เดาผิดซะที่ไหน รูปแก้มตอนเด็กที่ปีนต้นไม้หน้าบ้าน พี่ยังเก็บเอาไว้อยู่เลยนะ”
คนพูดไม่คิด คนคิดไม่พูด เก็ตถวามองคนที่ล้วงกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะดึงรูปถ่ายสมัยที่เธอยังเป็นเด็กออกมาให้ดู หญิงสาวมั่นใจว่าตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆ สั่นไหวรุนแรงยิ่งกว่าแปดจุดแปดริกเตอร์ ถึงแม้จะไม่มีเครื่องมือวัดก็เถอะ
“ยังเก็บไว้อยู่อีกเหรอคะ”
เธอไม่รู้ว่าเขาลืมทิ้งหรือว่าตั้งใจเก็บเอาไว้ แต่ถึงอย่างไรคนที่พยายามบังคับให้ตัวเองไม่หวั่นไหว ยามนี้หัวใจอยู่เหนือการควบคุมของสมองไปเสียแล้ว
“อือ.. เปลี่ยนกระเป๋ามาหลายใบแล้วนะ แต่ไม่กล้าทิ้ง อย่างว่าแหละ พี่ทำงานที่โรงพยาบาล ผีเยอะ เลยเก็บไว้เป็นยันต์กันผี”
กรี๊ด!จากที่หวั่นไหว หัวใจสั่น ตอนนี้อยากจะตะโกนให้ลั่น เพราะอีตากวินทร์บอกว่าเก็บรูปเธอไว้กันผี ไม่ใช่เพราะพิศวาส
“พี่ภีม! เอาคืนมาเลยนะ”
“เฮ้ยๆ ไม่ได้ ให้แล้วให้เลยสิ”
ชายหนุ่มรีบเก็บรูปเข้ากระเป๋าทันที อย่างกลัวว่าจะโดนเจ้าของมันยึดคืน
“ชิ! แก้มไม่คุยกับพี่ภีมแล้ว นอนกับเกี่ยวก้อยดีว่า”
เจ้าของใบหน้าแสนงอน นอนลงข้างๆ ลูกสาวตัวน้อย เปลือกตาของเจ้าหล่อนค่อยๆ ปิดลง กวินทร์มองภาพสองแม่ลูกที่นอนเคียงกันอย่างนึกเอ็นดู สมาร์ทโฟนเครื่องบางถูกหยิบขึ้นมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดเข้าโปรแกรมถ่ายภาพ แล้วถ่ายรูปสองแม่ลูกเก็บเอาไว้
“ขี้เซาไม่เปลี่ยนเลยนะ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นไปหยิบผ้าห่มที่พับไว้บนโซฟาใกล้ๆ แล้วนำมาห่มให้สองแม่ลูก ด้วยกลัวว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้ทั้งคู่ไม่สบาย
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่เก็ตถวาและแม่หนูตัวน้อยนอนหลับ คนเป็นพ่อที่นั่งดูซีรีส์บนหน้าจอไอแพด มองสลับไปมาระหว่างสองแม่ลูกและภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ
“พี่ภีมแอบมองแก้มเหรอคะ”
คนที่ตื่นได้สักพัก เมื่อรู้ตัวว่าถูกแอบมอง จึงเอ่ยท้วงขึ้น
“ก็มองคนขี้เซา ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ขี้เซาซะหน่อย แก้มแค่นอนเป็นเพื่อนเกี่ยวก้อย”
คนสวยทำปากยื่นปากยาว เพราะถูกหาว่าขี้เซา
“เหรอ นอนน้ำลายยืดขนาดนี้ ถ้าไม่ขี้เซาจะเรียกว่าอะไรล่ะครับ”
“เรียกว่าเป็นเด็กกำลังเจริญเติบโตค่ะ”
ครืน.. ครืน..
โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวของกวินทร์ สั่นเป็นสัญญาณเตือนว่ามีคนโทรเข้า ชายหนุ่มเหลือบมองหน้าจอ ก่อนจะหันไปมองเจ้าของดวงตากลมโตที่กำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน
“พี่รับโทรศัพท์แป๊บนะ”
เก็ตถวายิ้มให้ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น แม้ตาจะไม่มองแต่สองหูก็ผึ่งพร้อมแอบฟังทุกถ้อยคำสนทนาของชายหนุ่มกับปลายสาย