‘ผมส่งเวรให้หมอชิน วันนี้เหนื่อยๆ เลยกลับบ้าน’
‘ทำไมไม่บอกกันก่อนละคะ วิอุตส่าห์ซื้อขนมเจ้าอร่อยที่พี่หมอชอบมาฝาก’
เสียงที่ดังมาตามสาย มีแววตัดพ้อชัดเจน
‘ผมขอโทษนะ นึกว่าคุณยุ่งๆ เลยไม่ได้บอก เดี๋ยวตอนเย็นเราก็เจอกันที่คลินิกแล้วนี่’
‘งั้นถ้าเลิกงานแล้ว พี่หมอไปดินเนอร์กับวินะ’
ชายหนุ่มนิ่งเงียบอย่างใช้เวลาคิด ใจหนึ่งก็อยากจะไถ่โทษหล่อน แต่อีกใจก็เป็นห่วงสองสาวที่บ้าน
‘พี่หมอคะ ไปดินเนอร์กับวินะ’
‘เดี๋ยวยังไงผมบอกอีกทีได้ไหม’
‘ก็.. ได้ค่ะ วิยังไงก็ได้ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้เจอกันที่คลินิกนะ’
กวินทร์รู้ดีว่าวิภาวดีไม่พอใจ หรือกำลังงอนเขาอยู่เป็นแน่ ชายหนุ่มถอดถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปหาแม่ของลูก
“วันนี้พี่อาจจะกลับดึกนะ”
เก็ตถวายิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้งแล้วพยักหน้าเหมือนอย่างเคย แม้ใบหน้าจะดูปกติแต่ภายในรู้สึกหน่วงหนึบ เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา แต่ก็เดาว่าคงจะเป็น ‘คนนั้น’ หรือว่าที่แฟนใหม่ของกวินทร์
“ค่ะ พี่ภีมไม่ต้องห่วงแก้มกับลูกนะ แก้มอยู่ได้สบายๆ”
“วันนี้พี่จะเข้าคลินิก เลิกงานแล้วก็จะ..”
“อันที่จริง พี่ภีมไม่ต้องบอกแก้มทุกอย่างก็ได้นะคะ พี่ภีมจะทำอะไร ไปที่ไหน นั่นมันก็เรื่องส่วนตัวของพี่”
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว เธอไม่ได้โกรธที่เขาจะไปมีใครใหม่ และไม่ต้องการรับรู้ด้วยว่าเขาจะไปทำอะไรกับใครที่ไหน เพราะเรื่องระหว่างของเธอและกวินทร์มันจบลงตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว
อุปกรณ์ทำขนมถูกนำออกมาตั้งเตรียมเอาไว้ อันที่จริงไม่ต้องรีบทำก็ได้ เพราะจำนวนที่บุริศร์สั่งไม่ได้มากมาย แต่ตอนนี้เธอแค่อยากหาอะไรก็ได้ที่ทำแล้ว ทำให้ความว้าวุ่นที่อยู่ในใจคลายลงได้บ้าง
“พี่ช่วยไหม”
นั่นไง! ไอ้ตัวว้าวุ่นตามเข้ามาจนได้
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ภีมไปอยู่กับลูกเถอะ ตื่นมาไม่เห็นใคร เดี๋ยวแกร้องไห้”
เก็ตถวาทำเป็นไม่สนใจชายหนุ่มที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ใกล้ๆ เธอไม่รู้ว่ากวินทร์ต้องการอะไร ถึงได้ทำแบบนี้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะหวังดีแบบพี่น้อง หรือต้องการแสดงความรับผิดชอบอย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งคิดว่าควรจะต้องทำ แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง บอกเลยว่า..
เธอไม่โอเค!
“แก้มไม่พอใจอะไรพี่หรือเปล่า”
มือที่กำลังแกะถุงแป้งชะงักกึก เธอหันไปมองหน้าเขา ดวงตาหวานดั่งลูกกวางจ้องมองเข้าไปในแววตาอีกคู่ที่ยามนี้ช่างว่างเปล่าจนน่าใจหาย
‘หึ! แกคิดมากไปเองยัยแก้ม เขาแค่หวังดีตามประสาผู้ชายนิสัยดีคนหนึ่งเท่านั้น’
“พี่ภีมคะ แก้มขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม เราช่วยกันเลี้ยงเกี่ยวก้อย แต่พี่ภีมไม่ต้องก้าวล้ำเข้ามาในชีวิตของแก้ม หมายถึงว่า เราอยู่ใครอยู่มัน มีหน้าที่อะไรก็ทำไป แก้มขอ...”
เธอไม่อยากหวั่นไหว ไม่อยากพาหัวใจเข้าไปเจ็บปวดอีก ดังนั้นการตัดสินใจพูดอะไรให้มันจบแบบเด็ดขาดออกไป คงจะเป็นการดีกับทุกฝ่ายมากที่สุด
“ตกลง.. ถ้าแก้มต้องการ ที่ผ่านมาถ้าพี่ทำอะไรให้แก้มลำบากใจ ขอโทษด้วยนะ”
เก็ตถวาพ่นลมหายใจออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ เธอก็คน เขาก็คน ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ต่อไป จากความใกล้ชิดอาจจะแปรเปลี่ยนเป็นความหวั่นไหว ท้ายที่สุด ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องมีใจ ถ้ากวินทร์ยังไม่มีใครใหม่ก็ถือว่าดีไป แต่ชายหนุ่มเป็นคนบอกกับเธอเองว่าตอนนี้เขามีใครในใจอยู่แล้ว ถ้าเกิดคนที่หวั่นไหวเป็นตัวเขาเอง แล้วผู้หญิงอีกคนหนึ่งล่ะ หรือถ้าไม่ใช่ชายหนุ่ม แต่กลับเป็นเธอเสียเอง ไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเจ็บช้ำมากขนาดไหน ถ้าสุดท้ายถูกเขาผลักไสออกจากชีวิต โดยที่ยังคงเจอหน้ากันในฐานะพ่อและแม่ของลูก มันคงจะรวดร้าวชะมัด เพราะฉะนั้นรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า