ผลไม้หลายอย่างและขนมที่ศรันย์ชอบกิน ถึงแม้จะหายากแค่ไหนและแพงเท่าไหร่ มนสิชาก็เพียรหามาให้ผู้เป็นพ่อจนได้ “พ่อจ๋า... ม่อนมาแล้ว” เธอตะโกนเรียกพ่อตั้งแต่เปิดประตูห้อง
เมื่อหญิงสาววางข้าวของไว้ที่โต๊ะ เธอรีบถลาเข้ามาหาผู้เป็นพ่อทันที แล้วหัวใจที่ห่อเหี่ยวมาทั้งวันก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมจิตใจ เพราะวันนี้ศรันย์ดูสดชื่นขึ้น
“เหนื่อยไหมลูก” ศรันย์เอ่ยถามลูกสาวของตน
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ แค่หนูได้เห็นพ่อหายวันหายคืนแบบนี้ หนูก็มีกำลังใจแล้ว” สาบานได้เลยว่าเธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ นับว่าคุ้มค่ายิ่งนักที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลกกับเงินก้อนนั้น วันนี้พูดได้เต็มปากเลยว่าต่อให้เสียมากกว่าตัว เธอก็ยอม..
“ทำงานเหนื่อยไหมล่ะลูก ย้ายพ่อกลับไปที่ห้องรวมเหมือนเดิมก็ได้นะ หนูจะได้มีเวลาพักผ่อนและอ่านหนังสือเตรียมสอบ”
มนสิชาเห็นความกังวลในแววตาของพ่อ หญิงสาวจึงรีบปั้นหน้ายิ้มให้กว้างและสดใสที่สุด “ไม่เลยค่ะพ่อ หนูทำงานถึงเที่ยงคืนแล้วก็กลับบ้านไปนอน ไม่เหนื่อยเลย อย่าลืมสิ.. หนูน่าอายุยังน้อย นอนพักแป๊บเดียวร่างกายก็ฟื้นตัวได้” เธอไม่ได้โกหก เธอทำงานถึงเที่ยงคืนจริงๆ ก่อนจะมาเข้ากะอีกรอบในช่วงรุ่งสาง เมื่อ.. ดนย์มีพลังในการเดินเครื่องต่อ
ศรันย์ยิ้มให้ลูกสาว “อ่านหนังสือเตรียมสอบไปถึงไหนแล้ว จำไว้นะลูก.. ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามทิ้งการเรียนเด็ดขาด พ่อไม่ได้อยู่กับม่อนจนถึงวันรับปริญญา แต่อยากให้ลูกรู้ว่าพ่อกับแม่จะเฝ้ามองลูกอยู่บนฟากฟ้า แม้ตัวจะไกลแต่อ้อมกอดของพ่อกับแม่จะโอบลูกเอาไว้ด้วยความรักเสมอ”
หัวใจของมนสิชากระตุกวูบ พ่อพูดราวกับว่ากำลังสั่งเสียเพื่อเตรียมตัวจากไปในที่ไกลแสนไกล ที่ที่เธอไม่อาจไปถึง “พ่อจ๋า.. ม่อนสัญญา ม่อนจะไม่ทิ้งการเรียน และม่อนจะดูแลตัวเองให้ดี ม่อนเก่งเหมือนพ่อ” เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มกว้าง แต่ทว่าข้างในร้องไห้จนน้ำตาแทบไม่มีจะไหลแล้ว มันรวดร้าวและเจ็บปวดเหลือเกิน..
“ดีแล้วลูก.. พ่อขอโทษที่ไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ในวันที่ลูกประสบความสำเร็จ ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ดูแลรักษาเนื้อรักษาตัว จำเอาไว้นะ ความรักของพ่อกับแม่จะอยู่กับม่อนตลอดไป”
ใบหน้าของศรันย์อิ่มใสเหมือนคนป่วยที่ใกล้จะหาย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอแสงอบอุ่น มนสิชาจ้องมองมันเนิ่นนานอย่างพยายามบันทึกลงไปในความทรงจำว่าดวงตาคู่นี้ของพ่อเธอนั้นอบอุ่นเพียงไหน “พ่อจ๋า ม่อนรักพ่อนะ” มนสิชากราบที่อกพ่อ ก่อนจะโอบกอดศรันย์หลวมๆ ด้วยกลัวว่าพ่อจะเจ็บ
“พ่อก็รักม่อน นายช่างใหญ่ของพ่อ”
“ม่อนจะเป็นนายช่างใหญ่ ม่อนจะตั้งใจอ่านหนังสือสอบและทำฝันของตัวเองให้สำเร็จให้ได้ ม่อนสัญญา”
“พ่อเชื่อว่าลูกสาวของพ่อทำได้”
หลังจากใช้เวลาอยู่กับพ่อจนถึงห้าโมงเย็น หญิงสาวก็ขอตัวกลับ กว่าจะถึงบ้านก็เกือบสองทุ่ม เพราะระยะทางจากโรงพยาบาลมาที่บ้านของดนย์ไกลพอควร ยิ่งบวกกับการจราจรที่เวลานี้ช่างติดขัดยิ่งนัก
เธอใจเต้นตึกตัก เมื่อเดินผ่านโรงจอดรถแล้วเห็นรถคันที่นั่งมาเมื่อกลางวันจอดอยู่ แสดงว่าเขากลับมาแล้ว มนสิชาเข้าบ้านมาไม่เห็นใครจึงรีบเดินขึ้นบันไดและรีบเข้าห้องนอนของตัวเองทันที มนสิชารีบอาบน้ำเพราะจะมาท่องหนังสือสอบ ปีนี้ตั้งใจว่าจะยังไม่สอบเข้ามหา’ ลัย เพราะจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้พ่อ แต่จะยังอ่านหนังสือสอบไปเรื่อยๆ เพื่อรอสอบเข้าคณะที่เธอใฝ่ฝันที่อยากจะเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ทว่าเมื่ออาบน้ำเสร็จ ความตั้งใจที่จะอ่านหนังสือต้องจบลง ด้วยว่าดนย์มานอนรอเธออยู่บนเตียง ในชุดพร้อมนอน
“เออ.. คุณมานานแล้วเหรอคะ”
“ตั้งแต่เธอเข้าไปอาบน้ำ มานี่มา” ดนย์กวักมือเรียกผู้หญิงของตน
มนสิชาเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆ เขา ดนย์ไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียวปากอุ่นของเขาประกบลงบนกลีบปากอวบอิ่มหวานล้ำทันที
สัมผัสที่ทั้งโหยหาและเรียกร้องของเขา ทำให้มนสิชาเผลอไผลส่งเสียงครางออกมาโดยไม่รู้ตัว “อือ..”
ดนย์แนบร่างอรชรของเธอลงกับเตียง และพาหญิงสาวไปตามครรลองอันหฤหรรษ์ของเขา เสียงครางหวานและเสียงคำรามด้วยความสุขสมดังกระหึ่มแข่งกับเสียงฟ้าร้องที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเริ่มต้นฤดูฝนแล้ว ไม่นานทั้งคู่ก็พากันไขว่คว้าสายรุ้งที่แสนหวานมาครอบครอง
หลังจากไฟแห่งความปรารถนาที่ลุกโชนเหลือเพียงควันกรุ่นๆ มนสิชาพยายามเบียดร่างอันเปลือยเปล่าของตัวเองเข้ากับอกแข็งแกร่งของชายหนุ่ม เหมือนดั่งนกน้อยที่ซุกเข้าหาแม่ของตัวเองยามมันหาที่พึ่งพิง
“เป็นอะไรหึ” ดนย์เอ่ยถามเจ้าของร่างอรชรที่เบียดเขาแทบจะสิงเมื่อยามมีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า
“ฉันกลัว..” เธอเป็นคนที่กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่ามาก ยามวัยเด็ก เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน เธอจะไปนอนกับพ่อและแม่ ใช้อกอันแข็งแกร่งของพ่อและอ้อมกอดอบอุ่นของแม่เป็นที่พึ่งพิง
เปรี้ยง!! แรงของสายฟ้าที่ฟาดลงมาทำให้กระจกสั่นสะเทือน “อร้าย!”
ดนย์เห็นดังนั้น จึงใช้มือลูบแผ่นหลังของหญิงสาว เพื่อให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย “นอนซะนะคนดี ฉันอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องกลัวอะไร”
“คุณจะไม่ทิ้งฉันไปไหนใช่ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยถามเพื่อความมั่นใจ
“ฉันจะไม่ไปไหน ฉันสัญญา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เปลือกตาที่หนักราวกับว่ามีใครสักคนเอาก้อนหินมาผูกถ่วงไว้ จึงค่อยๆ ปิดลง ก่อนที่มนสิชาจะเข้าสู่ห่วงนิทราไป
ดนย์มองคนตัวเล็กที่นอนอยู่ในอ้อมกอด เขาไม่เคยพาใครเข้ามาอยู่ที่นี่ หรือแม้กระทั่งพาผู้หญิงย่างกรายเข้ามาในบ้านหลังนี้ ยังไม่เคยเลย นอกจากเธอคนนั้นที่เป็นคนสร้างบ้านขึ้นมาร่วมกับเขา บ้านที่ทั้งคู่ตั้งใจจะใช้เป็นเรือนหอ
ดนย์คิดถึงเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน จีจี้หรือจิรัญญา ผู้หญิงที่เขารักและเลือกที่จะมาเป็นคู่ชีวิต เธอและเขากำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่จิรัญญาท้องซะก่อน เมื่อเขารู้ข่าว เขาตื่นเต้นและดีใจมากที่กำลังจะได้เป็นพ่อคน แต่จิรัญญากลับบอกว่า.. เขาไม่ใช่พ่อของเด็ก เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝันไว้ มันพังทลายลงต่อหน้าต่อตา จิรัญญาบอกเลิกเขาและไปแต่งงานกับผู้ที่เป็นคนให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ในท้องของเธอ คนที่เธอบอกว่าเป็นแค่เพื่อนสนิท ตั้งแต่นั้นมา ดนย์ไม่เคยเชื่อในเรื่องของความรักอีกเลย เขาเปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยเอาเปรียบใคร ผู้หญิงทุกคนที่นอนด้วยต่างมีข้อตกลงระหว่างกัน พวกเธอให้ความสุขทางกายแก่เขา ส่วนเขาตอบแทนด้วยสิ่งของที่ผู้หญิงพวกนั้นอยากได้ แต่มนสิชาไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยควง เขาตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากได้แม่กวางน้อยนี่มาอยู่ใกล้ๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเคยตราหน้าเธอว่าเป็นเด็กใจแตกรักสบาย หรือว่าเพราะเธอมีส่วนละม้ายคล้ายกับจีจี้งั้นหรือ
ดนย์มองกลีบปากอวบอิ่ม ที่มันช่างเย้ายวนตาเขาเหลือเกิน จนอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจูบไม่ได้
“อือ..” มนสิชารู้สึกตัวตื่นเพราะโดนคนขโมยจูบ เธอรู้สึกเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ เพราะจูบที่เขาปรนเปรอให้ช่างอ่อนหวานและนุ่มนวลเสียเหลือเกิน เนิ่นนานหลายนาทีดนย์จึงถอนริมฝีปากออก
มนสิชารีบลุกขึ้นและวิ่งหนีเข้าห้องน้ำทันทีเพราะรู้สึกเขินอายอย่างบอกถูก
ดนย์มองกิริยานั้นแล้วยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว “ยัยเด็กบ้า”
เวลาเกือบสองเดือนแล้วที่มนสิชามาอยู่กับดนย์ หญิงสาวใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกวัน เช้าไปโรงพยาบาล เย็นๆ หลังจากพยาบาลพิเศษมาแล้ว เธอก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ 'นางบำเรอ' ให้เขา
“เดี๋ยวสิ มากินข้าวด้วยกันก่อน” ดนย์เอ่ยเรียกหญิงสาวที่กำลังจะออกจากบ้าน
มนสิชาเดินมานั่งโต๊ะ และรับประทานอาหารกับเขา ดนย์จึงเอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจออกไปข้างนอกทุกวัน “เธอจะไปไหนเหรอ” ถึงแม้จะอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน แต่เขากลับ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมนสิชาเลย ตลอดเวลาสองเดือนมานี้ เห็นเพียง แค่ว่าหญิงสาวรีบออกจากบ้านไปแต่เช้า และกลับมาตอนเย็นๆ แต่เธอก็ไม่เคยบอกเขาว่าไปไหนหรือไปทำอะไร
“ไปธุระค่ะ”
มนสิชาตอบแค่นั้น โดยไม่ได้ขยายความต่อ เขาจึงไม่ได้ เซ้าซี้อะไร
วันนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้ร่วมโต๊ะกับดนย์ในตอนเช้า ไม่สิ! เธอกับเขาไม่เคยกินข้าวด้วยกันเลยต่างหาก ใช้ชีวิตเหมือนอยู่คนละโลก ต่างคนต่างอยู่ จะกลมเกลียวแน่นแฟ้นกันก็ตอนที่จะผสมพันธุ์นี่แหละ
ชีวิตหนอชีวิต..
“ให้ไปส่งไหม” ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าเขาเองก็อยากรู้ว่ามนสิชาไปไหน ทำอะไร หรือไปหาใคร..
เธอเงยหน้าขึ้นจากชามข้าวต้มปลา เมื่อมองพิจารณาแววตาของผู้ชายตรงหน้าแล้วก็เห็นถึงความหวังดีและ..
..สอดรู้สอดเห็น
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ที่ฉันจะไป มันอยู่คนละทางเลยกับบริษัทคุณ ฉันไปเองคงสะดวกกว่า”
มนสิชากำลังเดินเลือกซื้อผลไม้อยู่หน้าโรงพยาบาล พลัน สร้อยพระที่เธอใส่มาตั้งแต่เด็กๆ ขาด หญิงสาวมองสร้อยพระที่ตกลงมากองอยู่ที่พื้น รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไร เธอพยายามคิดแค่ว่าสร้อยมันเก่าเลยขาดเท่านั้นเอง
“พ่อจ๋า..”มนสิชาส่งเสียงสดใสทักทายผู้เป็นบิดา แต่ต้องแปลกในเพราะเห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่คุ้นตาเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้น จึงหันไปถามพยาบาลที่กำลังวัดไข้ให้ศรันย์
“นี่เครื่องอะไรหรือคะคุณพยาบาล”
“เครื่องหยดมอร์ฟีนค่ะ”
“มอร์ฟีน?”
“เมื่อคืนคนไข้ปวดจนนอนไม่ได้ หมอเลยต้องใช้เครื่องหยด มอร์ฟีนให้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงน่ะค่ะ”
มนสิชาที่ได้รับคำตอบจึงหันไปมองศรันย์ เมื่อเธอเห็นหน้าผู้ เป็นบิดา เธอต้องรีบหันหลังเพื่อเช็ดน้ำตาที่มันไหลออกมาเพราะสงสารพ่อ ใครจะคิดว่าโรคบ้าๆ นี่จะทำให้พ่อของเธอทรุดเร็ว ขนาดนี้
“มาแล้วเหรอ ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”
พ่อพยายามยิ้มให้เธอ แม้ข้างนอกจะเบ่งบาน ทว่าภายใน..เธอรู้ดีว่าศรันย์เจ็บปวด
“หลายอย่างเลยจ้ะ พ่อกินน้ำแตงโมปั่นหน่อยไหม ม่อนทำมาให้” มนสิชาเดินไปหยิบกระบอกใส่น้ำแตงโมปั่นที่เธอทำมาจากบ้าน มาให้ศรันย์ดื่ม “ม่อนทำเองเลยนะ แตงโมปลอดสารพิษ ดื่มแล้วจะได้สดชื่น”
“อร่อยจริงๆ ด้วย”
“อร่อยก็ดื่มเยอะๆ นะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ม่อนทำมาให้พ่ออีก” เธอยิ้มให้ศรันย์ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ปลายเตียง “ม่อนนวดให้นะ” โลกใบนี้เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ หลายวันก่อนพ่อยังสด ชื่นแจ่มใส มาวันนี้ศรันย์ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด ท้องบวม เท้าบวม แพทย์เฉพาะด้านมะเร็งซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ศรันย์ บอกว่าเป็นอาการที่พบได้ในผู้ป่วยมะเร็งตับขั้นสุดท้าย สาเหตุมันมาจากอะไร เธอไม่ใคร่สนใจจะฟังนัก
“นั่งก่อนเถอะลูก ยืนนวดให้พ่อแบบนี้นานๆ เมื่อยแย่เลย”
เธอยิ้มให้ศรันย์ “ไม่เมื่อยเลยค่ะพ่อ แค่นี้สบายมาก”
ดนย์ที่เปิดประตูห้องเข้ามาสักพัก แต่มนสิชายังไม่รู้ตัวว่าไม่ได้อยู่ในห้องแค่คนเดียว เพราะมัวแต่นั่งเหม่อคิดเรื่องพ่ออยู่หน้ากระจก
“เป็นอะไร” ดนย์เดินมาสะกิดที่หัวไหล่ของเธอ
“ปะ..เปล่าค่ะ”
“เปล่าอะไร ก็เห็นนั่งเหม่ออยู่ตั้งนาน เรียกก็ไม่ได้ยิน”
“เออคือ..” ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไรออกมา ปากอุ่นๆ ของดนย์ก็ประกบลงมาชิมปากหวานล้ำก่อนเสียแล้ว ชายหนุ่มก้มลงช้อนร่างอรชร และวางลงบนเตียงอย่าง
ทะนุถนอม แต่ก่อนที่ไฟปรารถนาจะโหมกระหน่ำทั้งคู่ เสียงโทรศัพท์ของมนสิชาก็ดังขึ้นเสียก่อน หญิงสาวแปลกใจมาก ว่าใครโทรมาเวลานี้ เธอจึงเบี่ยงตัวออกจากร่างของดนย์ที่ทับอยู่บนตัวเธอ แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้อยู่บนโต๊ะปลายข้างเตียงขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ทำให้หญิงสาวใจเต้นไม่เป็นส่ำ เธอกดรับด้วยใจที่กลัว
กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับศรันย์
“สวัสดีค่ะพี่อ้อย” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ และเงียบฟังสิ่งที่ปลายสายพูด เมื่อพยาบาลอ้อย พยาบาลพิเศษที่เธอจ้างมาดูแลพ่อพูดจบ พลันโทรศัพท์ที่แนบอยู่ข้างหู ก็ร่วงหล่นลงบนพื้น เพราะมือของหญิงสาวบัดนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“ม่อนๆ ..” ดนย์เขย่าเรียกให้มนสิชาที่นั่งนิ่งเหมือนคนช็อกไป ให้ได้สติ
“คุณดนย์คะ ตอนนี้ฉันขอออกไปข้างนอกได้ไหมคะ” มนสิชาส่งสายตาขอร้อง และยกมือไหว้ ดนย์รีบจับมือที่หญิงสาวยกไหว้เขาลง และดึงเธอเข้ามากอด
“เธอเป็นอะไร บอกฉันได้ไหม แล้วจะออกไปไหน มันดึกแล้วนะ”
“ฮือ...พ่อฉัน พยาบาลโทรมาบอกว่าพ่อฉันอาการหนัก” มนสิชาทั้งพูดทั้งร้องไห้ ตอนนี้เธอเหมือนคนสติแตก ดนย์เองไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด แต่ก็ไม่อยากถามรายละเอียดอะไรตอนนี้
“อยู่โรงพยาบาลไหน เดี๋ยวฉันพาไปเอง”
ดนย์มองชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซูบตอบและร่างกายดูอิดโรยบ่งบอกว่ากำลังป่วยหนักที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ รอบข้างมีอุปกรณ์ทางการแพทย์หลายชิ้น
“มอ..ม่อน” ศรันย์เอ่ยเรียกบุตรสาว มนสิชารีบเช็ดน้ำตาและเอาหน้าเข้าไปแนบกับฝ่ามือของผู้เป็นบิดา
“พ่อจ๋า พ่อไม่ต้องห่วงม่อนนะ หลับให้สบาย ม่อนของพ่อเก่งและเข้มแข็ง ม่อนสัญญาว่าม่อนจะดูแลตัวเองให้ดี” มนสิชาพยายามเข้มแข็งเพื่อให้ศรันย์ไม่เป็นห่วง และจากไปอย่างสบายที่สุด ก่อนจะเข้ามาในห้อง พยาบาลที่ดูแลพ่อเธอบอกกับเธอว่า พ่อของเธอใกล้จะพ้นจากความทุกข์ทรมานของโรคร้ายนี้แล้ว ศรันย์พยายามใช้มือลูบแก้มของมนสิชาและยิ้มให้บุตรสาวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากไปด้วยความสงบ
“พ่อ!!!” มนสิชาโผเข้ากอดร่างที่ไร้วิญญาณของบิดา หญิงสาวร้องไห้ออกมาสุดเสียง ดนย์ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ เดินเข้ามาลูบไหล่หญิงสาวเพื่อให้กำลังใจ มนสิชาเมื่อจัดการเรื่องย้ายศพพ่อจากโรงพยาบาลไปที่วัดเพื่อทำพิธีฌาปนกิจเรียบร้อยแล้ว ก็กลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนชุด ตลอดเวลาที่อยู่บนรถ ดนย์ไม่ได้พูดหรือถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องของศรันย์ แต่เขาใช้มือข้างที่ไม่ได้จับพวงมาลัย มาลูบหลังมือของมนสิชาตลอดเวลา กระแสความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาทางฝ่ามือหนานั้น ทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวบนโลกใบนี้
มนสิชามองควันที่ลอยอยู่เหนือปล่องเมรุ น้ำตาที่เหือดแห้งไป ไหลรินลงมาอีกครั้ง “พ่อจ๋า.. หลับให้สบายนะ ไม่ต้องห่วงม่อน”
“พ่อเธอไปสบายแล้ว ตอนนี้เขากำลังมองเธอจากข้างบนนู้นอยู่นะ ยิ้มให้เขาหน่อยสิ” เธอมองขึ้นไปบนฟ้าตามที่เขาบอก และยิ้มทั้งน้ำตาให้แผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ ที่เธอเชื่อว่าพ่ออยู่บนนั้นและกำลังมองมายังเธอ
“ไปเถอะ กลับบ้าน 'เรา' กัน” ดนย์จับมือมนสิชาและพาเดินไปที่รถด้วยกัน