ใจแตก
“เด็กคนนั้นใช่ลูกนายศรันย์หรือเปล่าวะ” เลขาฯ ทั้งสองของดนย์ที่นั่งอยู่ตอนหน้าของรถชี้ชวนกันให้ดูหญิงสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายที่กำลังยืนรอรถอยู่อีกฝั่งของถนน
“เออสิ.. สวยเหมือนแม่ไม่มีผิด”
สายตาคู่คมของผู้เป็นนายมองบุคคลที่ลูกน้องของตนกล่าวถึง ดนย์ไม่ปฏิเสธเลยว่าเด็กคนนั้นสวยจริงๆ ถึงแม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทว่าดวงหน้ารูปไข่สวยหวานนั้นช่างดู โดดเด่นเหลือเกิน
“ใคร?” ดนย์ตัดสินใจเอ่ยถามเลขาฯ ของตน เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากรู้จักเด็กผู้หญิงคนนั้น
“ลูกสาวของนายศรันย์กับแม่มะลิน่ะครับ แต่ก่อนเคยเป็นพนักงานในบริษัทของบอส แต่ลาออกนานแล้ว เห็นว่าจะออกมาค้าขายหรือทำอะไรสักอย่าง แต่แม่มะลินั้นตายไปได้หลายปี นายศรันย์พ่อของยัยหนูคนนี้พึ่งแต่งงานใหม่เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง อาทิตย์ก่อนแม่เลี้ยงของหนูคนนี้ยังมาขอกู้เงินกับทางบริษัทเราอยู่เลย แต่ทางเราไม่ได้ปล่อยกู้ให้หรอกนะครับ เพราะหนี้เก่าส่งแค่ดอก ต้นไม่มีมาตัดสักบาท”
ดนย์ฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้ถามอะไรต่อ แม้ในใจลึกๆ แล้ว อยากจะรู้จักหญิงสาวคนนั้นอยู่ก็ตาม
มนสิชาที่พึ่งเรียนจบมัธยมปลาย รีบเอาวุฒิการศึกษามาอวดผู้เป็นบิดา เพื่อหวังให้พ่อได้เห็นถึงความสำเร็จของตน
“พ่อจ๋า... ม่อนจบ ม.ปลายแล้วนะ เดือนหน้าม่อนจะสอบเข้ามหา’ ลัยแล้ว” เรียวปากอิ่มพูดไปยิ้มไป
ศรันย์มองบุตรสาวที่ตนรักเหมือนดั่งดวงใจด้วยความภาคภูมิใจ “ตั้งใจเรียนนะลูก.. ถ้าพ่อไม่อยู่แล้วหนูจะได้มีวิชาความรู้เอาตัวรอดได้”
“โธ่.. พ่อพูดอะไรแบบนั้นละจ๊ะ พ่อยังอยู่กับม่อนได้อีกนาน” พูดจบมนสิชาก็โผเข้าหาอ้อมกอดของบิดา
ศรันย์ลูบหัวบุตรสาวด้วยความเอ็นดู “อยากเรียนคณะอะไรน่ะเรา”
“ม่อนอยากเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ค่ะพ่อ จบมาจะได้เป็นนายช่างใหญ่เหมือนพ่อ” แววตาของมนสิชาเต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังและความฝัน
“อยากเห็นนายช่างม่อนทำงานจัง คงจะเท่น่าดู” ศรันย์เอ่ยเย้าลูกสาว
“ต้องเท่สิคะ นี่ม่อนลูกใคร ลูกพ่ออั้นไง พ่ออั้นคนเก่งของหนู” มนสิชาหอมแก้มพ่อศรันย์ของตน ก่อนจะวิ่งไปหยิบกล้องถ่ายรูปที่วางอยู่ข้างคอมพิวเตอร์เครื่องเก่ามาถ่ายภาพคู่กับพ่อเก็บเอาไว้ดูและเพื่อเป็นการบันทึกความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเธอเคยมีพ่ออยู่ข้างๆ ในวันเวลาที่มีเรื่องน่ายินดีเช่นนี้เกิดขึ้น
“เดี๋ยวๆ ดูสภาพพ่อก่อนสิ ขออาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ดูหล่อๆ ก่อนไม่ได้เหรอลูก” ศรันย์พึ่งกลับมาจากทำงานคุมไซต์ก่อสร้างรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะทั้งตัวเหม็นและสภาพเสื้อผ้าหน้าผมไม่พร้อมสักอย่าง
มนสิชาหันไปมองพ่อแล้วยิ้มกว้าง “พ่อจ๋า.. พ่อของม่อนใส่ชุดไหนก็หล่อ”
“จริงอะ? ไม่หลอกพ่อนะ”
“ไม่หลอกค่ะ” มนสิชาเดินไปหยิบขาตั้งกล้อง ก่อนจะเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์และตั้งค่าเวลาเพื่อถ่ายรูปคู่กับพ่อ ทว่ากลับนึกอะไรบางอย่างได้เสียก่อน “พ่อจ๋า ม่อนขอเอาแม่มาถ่ายด้วยนะ ม่อนอยากมีแม่ในวันที่ก้าวแรกของม่อนประสบความสำเร็จ”
ศรันย์ฟังลูกแล้วน้ำตาแทบคลอเบ้า ภรรยาคู่ชีวิตที่จากลาอย่างไม่มีวันกลับก่อนวัยอันควรด้วยว่าสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงและสารพัดโรครุมเร้า เพราะไม่อยากให้ลูกขาดแม่ เขาจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่กับแม่หม้าย ทว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดมหันต์ที่สุดในชีวิต..
“ได้สิลูก.. หนูตั้งกล้องรอเลยนะ เดี๋ยวพ่อไปพาแม่เขาออกมาเอง” ศรันย์เอ่ยบอกลูกสาวก่อนจะหันหลังเพื่อปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา ก่อนจะรีบเดินเข้าห้องนอนของตนเพื่อไปพามะลิที่เหลือไว้เพียง..
“เรามาถ่ายรูปครอบครัวกันเถอะนะคะ”
มือข้างหนึ่งของศรันย์โอบเอวลูกสาวเอาไว้ ส่วนอีกข้าง.. ถือรูปถ่ายของภรรยาอันเป็นที่รัก ตัวจากไกลอย่างไม่มีทางไขว่คว้ากลับมาได้ แต่ภายในใจของศรันย์และมนสิชายังคงมีความทรงจำแสนสวยงามของมะลิตราตรึงเอาไว้ไม่มีวันเลือนหายไปไหน
“หนึ่ง สอง สาม..” หัวใจของมนสิชาฟูฟองจนคับอก เธอจะเก็บความสุขในวันนี้เอาไว้ จะไม่ยอมให้มันเลือนหายไปจากความทรงจำ แม้ว่าวันเวลาจะผันเปลี่ยน หรืออาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม..
“ลูกสาวแกก็สวย ทำไมไม่ลองเอาไปเสนอให้คุณเขาดูล่ะ”
ขาไพ่ที่เป็นแม่บ้านอยู่ในชั้นทำงานของผู้บริหารภาณุเกียรติกรุป กำลังพูดถึงเรื่องที่ตนได้ยินเกี่ยวกับท่านประธานของบริษัทแถมใส่สีตีไข่ให้เรื่องราวดูสนุกและน่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย วิจิตราที่เดินมาได้ยินแว่วๆ จึงเอ่ยถาม “คุยอะไรกันน่ะ ได้ยินแว่วๆ อะไร สวยๆ เสนอๆ”
“แหม.. มาพอดีเลยนะจ๊ะแม่วิ ก็นั่งสตางค์ลูกสาวนังส้มโอนะสิ กำลังแตกสาว สวยเชียว ฉันเลยเสนอให้นังส้มโอมันพาไปให้คุณเศรษฐีใหญ่เขาดูน่ะ เห็นว่ารายนั้นเขาชอบสาวๆ สวยๆ แล้วก็ชอบเปลี่ยนสาวควงอยู่บ่อยๆ”
“เศรษฐีไหน?” เมื่อวิจิตราได้ยินจึงเกิดสนใจ ด้วยว่าลูกเลี้ยงนางก็สวยไม่แพ้ลูกสาวของนั่งส้มโอ เผลอๆ อาจจะสวยกว่าเสียอีก
“ก็คุณเจ้าของบริษัทที่แกไปกู้เงินเขานะสิ”
วิจิตราที่ได้ฟังดังนั้นก็เริ่มเห็นทางที่เงินก้อนโตจะเข้ามาอยู่ในกระเป๋านาง วันนั้นวิจิตราจึงไม่เล่นไพ่ แต่ตัดสินใจไปที่อื่นแทน
มนสิชาก้มมองนาฬิกาข้อมือที่ตอนนี้บอกเวลาบ่ายโมงครึ่ง หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างน่ารัก มองเพลินจนไม่เห็น ‘ศิวัฒน์ ' เพื่อนสนิทที่นัดเธอออกมาเพื่อคืนหนังสือเตรียมสอบเข้ามหา’ ลัย เล่มที่เขายืมไปเมื่ออาทิตย์ก่อน
“ม่อน ..” ศิวัฒน์เอ่ยทักมนสิชาเมื่อเดินมาถึงโต๊ะสักพักแล้ว แต่หญิงสาวยังคงไม่เห็น
“อ้าว.. วัฒน์ มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ”
ศิวัฒน์นั่งลงได้สักพัก ก็มีพนักงานนำน้ำผลไม้ปั่นที่เขาเดินไปสั่งหน้าเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินมาหาหญิงสาวที่โต๊ะมาเสิร์ฟ
“มารอนานยัง”
“ไม่นานหรอก”
“อะนี่ หนังสือที่ยืมไป เดี๋ยวเราเลี้ยงน้ำกับเค้กม่อนนะ ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ให้ยืมหนังสือ”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรเลยวัฒน์ แค่นี้เอง” มนสิชาโบกไม้โบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ได้!!” ศิวัฒน์แกล้งเสียงแข็งและทำหน้างอนๆ ใส่มนสิชา เพราะรู้ว่าถ้าเขาทำแบบนี้ทีไร เธอต้องยอมเขาทุกที
“ก็ได้ .. งั้นวัฒน์เลี้ยงน้ำเรานะ เราขอเลี้ยงเค้กวัฒน์เอง” ศิวัฒน์ทำท่าจะปฏิเสธ แต่มนสิชาที่รู้ว่าเขาจะทำอะไรจึงยกมือเป็นเชิงปรามไว้ก่อน
“ม่อนจะเรียนต่อคณะไหนอ่ะ”
“ทำไม จะตามม่อนไปเรียนด้วยเหรอ”
มนสิชาแกล้งเย้าชายหนุ่ม เพราะทั้งคู่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลหนึ่งจนจบมัธยมปลาย ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน ตอนแรก ครอบครัวของศิวัฒน์ตั้งใจจะส่งชายหนุ่มไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่มัธยมปลาย แต่เขาไม่ยอมไป พ่อกับแม่ของชายหนุ่มจึงให้ไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติ ศิวัฒน์ก็ไม่ยอมอีก พอพ่อของเขาถามว่าจะเอายังไง จะเรียนไหน คำตอบของเขาคือจะเรียนห้องเดียวและโรงเรียนเดียวกับเธอ
“โธ่..ม่อนน่ะ”
ตากลมโตมองชายหนุ่มอย่างขำๆ เธอรู้ดีว่าเพื่อนสนิทคนนี้รู้สึกเช่นไรกับเธอ แต่หญิงสาวเองไม่สามารถก้าวผ่านคำว่าเพื่อนสนิทไปเป็นคนรู้ใจกับเขาได้จริงๆ ศิวัฒน์เองก็เหมือนจะรู้ว่าเธอไม่ได้คิดกับเขาแบบนั้น แต่ก็ยังคอยดูแลและเว้นระยะห่างให้เธอเสมอ ทำให้การได้อยู่ใกล้ๆ เขาไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับรู้สึกสบายใจเสียอีก
เวลาล่วงเลยมากว่าหนึ่งชั่วโมง มนสิชาจึงขอตัวกลับ เพื่อจะไปท่องหนังสือเตรียมสอบ ศิวัฒน์จึงอาสาไปส่งหญิงสาวที่บ้าน เพราะวันนี้เขาเอารถของที่บ้านมา
“ต้องเปิดประตูให้ไหมครับ คุณผู้หญิง” ศิวัฒน์หันไปกระเซ้ามนสิชา ที่ยืนตะลึงกับซูเปอร์คาร์อย่างลัมโบกินี่สีเหลืองป้ายแดง มนสิชารู้ว่าบ้านของศิวัฒน์รวย แต่ไม่นึกว่าจะรวยขนาดนี้ เธออยากจะหันไปถามศิวัฒน์เหลือเกินว่า..
..ให้เราไปเป็นคุณหญิงบ้านวัฒน์ตอนนี้ทันไหม
“เออ...” มนสิชาเริ่มทำตัวไม่ถูก ก็ตั้งแต่เกิดมาเธอเคยนั่งแต่รถสองแถวกับกระบะคู่ใจคันเก่าของพ่อนี่น่า รถหรูขนาดนี้เคยเห็นแต่ในหนังในละคร ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตจริงจะมีบุญได้นั่งกับใครเขา ศิวัฒน์เห็นท่าทีของหญิงสาว จึงอดจะแกล้งต่อไม่ได้ มือข้างที่ว่างจากการถือถุงขนมเค้กที่ตั้งใจฝากมนสิชาไปให้ศรันย์จึงยกขึ้นยีผมบนหัวกลมทุยที่มัดหางม้ารวบตึงไว้
“วัฒน์! แกล้งม่อนเหรอ” หญิงสาวเอาคืนโดยการเอื้อมมือไปจี้ที่เอวของศิวัฒน์ซึ่งเป็นคนบ้าจี้ขึ้นสุด วิธีนี้มักจะเป็นวิธีการเอาคืนที่ได้ผลเสมอ
“โอ๊ย! ผมยอมแล้วคร้าบ”ศิวัฒน์ถอยห่างไปหนึ่งก้าวและยกมือขึ้นเหมือนผู้ร้ายยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ท่าทางหยอกเย้ากระเซ้าแหย่ของชายหนุ่มหญิงสาว ตกอยู่ในสายตาของ ใครบางคนที่จอดรถอยู่ฝั่งตรงข้าม
“หึ.. ที่แท้ก็เด็กใจแตก”
ดนย์มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วคิดว่ามนสิชาก็คงจะเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นบางคน ที่พอแตกเนื้อสาวก็เริ่มหาคู่ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว หรือที่เขาจำกัดความหมายสั้นๆ ให้ก็คือ..
ใจแตก