เมื่อหญิงสาวทำธุระส่วนตัวเสร็จก็แอบออกมาเดินเล่นที่ริมระเบียงห่างจากห้องน้ำประมาณไม่ไกล วันนี้คือวันที่พระจันทร์เต็มดวง แม้จะมีแสงไฟแต่ก้ยังมองเห็นดาวดวงเล็กๆ แสงจันทร์กระทบบนผิวน้ำในสระมองแล้วก็เพลิดเพลิน เธอคิดถึงมารดาเหลือเกิน ท่านจากเธอไปแล้วพร้อมทิ้งจดหมายเอาไว้ให้เธอฉบับหนึ่ง ใจความในจดหมายบอกว่าเธอไม่ใช่คนไร้ที่พึ่ง มารดาให้เธอย้ายมาอยู่กับภวินท์และคอยช่วยเหลือเขาทุกอย่างเท่าที่คนอย่างเธอจะสามารถทำได้
“อะ แฮ่ม”
“อะ เอ่อคุณ...” พัทธ์ธีราจ้องมองผู้หญิงผิวสีน้ำผึ้งที่สวมเดรสสีแดงไม่วางตา นี่หล่อนรู้จักเธอด้วยหรอ
“ฉันชื่อเนย เป็นหลานของเจ้าสัวนนทิเวศ” หญิงสาวแนะนำตนเองให้อีกฝ่ายรู้จักทันที คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตาโตเมื่อรู้ว่าเธอเป็นใครแต่มันกับไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“ค่ะ ชื่อไม่คุ้นหูเลยนะคะ” หญิงสาวตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบ คนในแวดวังสังคมแบบนี้เธอไม่รู้จักจริงๆอย่างที่เอ่ยออกไป
“นังบ้านนอก แกไม่รู้จักคุณปู่ขอฉันได้ยังไง รู้ไหมว่าตระกูลผู้ดีอย่างฉันรวยแค่ไหน”
“ก็ฉันไม่รู้จักจริงๆนี่คะ” หญิงสาวตอบกลับแววตาใสซื่อจนอีกฝ่ายคิดว่าเธอแกล้งทำเพื่อยั่วโมโห
“มันจะมากไปแล้วนะนังบ้า” เนยไม่เคยเจอใครกวนประสาทเท่ากับคนตรงหน้ามาก่อน เธอจึงทนไม่ไหวยื่นมือไปจิกผมสลวยของหญิงสาวทั้งที่พัทธ์ธีรายังไม่ทันได้ตั้งตัว จากนั้นก็ตบไปที่แก้มของหญิงสาวหนึ่งทีจนขึ้นรอยที่แก้มบาง
“โอ้ย เป็นบ้าหรือไง เราไม่เคยรู้จักกันคุณมาทำร้ายฉันทำไม” พัทธ์ธีราโวยวายเสียงดังเพราะคิดว่าเสียงของเธอจะทำให้เธอรอดพ้นเรื่องบ้าๆนี่สักที
“ปล่อยคนของผมเดี๋ยวนี้นะ” ภวินท์ตวาดออกไปเสียงดังจนหญิงสาวต้องรีบปล่อยมือจากเส้นผมของพัทธ์ธีราอัตโนมัติ สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งเครียดเมื่อเห็นว่าคนในปกครองโดนทำร้าย ผิดเองที่เขาดูแลเธอไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมต้องใช้กำลังแบบนี้กับคนของผมด้วย” พัทธ์ธีราหลบอยู่ด้านหลังของภวินท์ทันทีเมื่อเขาสาวเท้าเข้ามาใกล้
“มะ มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยค่ะหนึ่ง อย่าโกรธเนยเลยนะคะ” เนยรีบขยับเข้าไปใกล้คนตัวโตเพื่ออ้อนวอนเขา
“หนูไม่เป็นไรค่ะ เรากลับบ้านกันเถอะนะคะ” หญิงสาวอยากจะจบเรื่องทุกอย่างและเข้าพักบนเตียงกว้างของตนแล้วจึงยอมเจ็บตัวฟรีในวันนี้เพื่อให้เรื่องจบลงโดยเร็ว
“แน่ใจนะว่าจะไม่เอาเรื่อง” ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเนยเลยสักนิดเพราะคนที่เขาสนใจคือพัทธ์ธีรา
“แน่ใจค่ะ ก็ถ้าเกิดว่าคุณไม่ใช่แฟนกับผู้หญิงคนนั้นก็ถือว่าไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ฉันโสด ใครๆก็รู้” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงดังฟังชัด เขาเป็นคนชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่บนรถเขาก็จ้องมองหญิงสาวไม่วางตาเพราะต้องการทราบว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง
“เจ็บมากไหม ขอโทษที่ทำให้ต้องมาเจ็บตัว” ชายหนุ่มบอกออกไปน้ำเสียงอบอุ่น ท่าทางและกลิ่นกายของเขาทำเอาใจของหญิงสาวสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอคงอ่อนหัดเรื่องบุรุษเพศมากเกินไป
“ไม่เจ็บแล้วค่ะ มันแสบๆคันๆมากกว่า ยัยป้านั่นก็อะไรไม่รู้จู่ๆก็มาทำร้ายกัน” ชายหนุ่มยิ้มขำที่หญิงสาวเรียกหลานสาวสุดรักสุดหวงของเจ้าสัวนนทิเวศว่าป้า
“หัดสู้คนอื่นบ้างสิ”
“หนูก็จะสู้อยู่ค่ะแต่ว่าคุณหนึ่งมาพอดี”
“จะมาเป็นว่าที่เมียของฉันได้ต้องสู้คนนะ เรียกพี่หนึ่งสิ เรียกคุณมันดูยังไงไม่รู้ ฉันยังไม่อยากแก”
“คิกๆ ก็ความจริงอะ เอ่อพี่หนึ่งแกกว่าที่รักตั้งหลายปีนี่คะ” เธอหัวเราะออกมาเบาๆ รู้สึกผ่อนคลายเมื่อเขาคุยเล่นกับเธอ ชายหนุ่มอายุมากกว่าเธอถึงสิบห้าพี่ เวลานี้เธออายุยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ส่วนเขาอายุย่างเข้าเลขสี่แล้ว
“มันก็จริง เรียกพี่นั่นแหละดีแล้วอย่างน้อยๆก็เรียกที่บ้าน”
“ตกลงค่ะ” เมื่อกลับมาถึงบ้านอบเชยก็จัดแจงทายาให้กับหญิงสาวจากนั้นก็แยกย้ายกันไปนอน ชายหนุ่มได้แต่ขบคิดอยู่ในหัวว่าการพาเธอไปออกงานแต่ละครั้งมักจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนนอกที่มารบกวนเวลาส่วนตัวของเธอมากกว่า
ด้านเจ้าสัวนนทิเวศฟังหลานสาวบ่นเรื่องผู้หญิงของภวินท์อย่างตั้งใจ เขานึกสงสัยไม่น้อยว่าคนรักสันโดดอย่างภวินท์ทำไมถึงรับเด็กสาวเข้ามาอยู่ในการดูแล
“ยัยเด็กนั่นมันไม่มีอะไรดีเลยนะคะคุณปู่ ดีอยู่อย่างเดียวก็คือมันอายุน้อยกว่าเนยแค่นั้นเองค่ะ เนยจะทำยังไงกับมันดีคะเนยไม่อยากให้มันอยู่กับภวินท์เลย”
“เราทำอะไรไม่ได้หรอกหลานรัก ปู่เชื่อว่าอีกไม่นานภวินท์ก็คงจะเบื่อแม่หนูคนนั้น”
“จริงด้วยค่ะ ภวินท์ต้องมองว่าแม่นั่นเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่งแน่ๆ”
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ก็แยกย้ายกันไปพักเถอะนะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่ปู่ทำให้เนยคิดได้ค่ะ เนยจะทำตัวดีๆให้ภวินท์เห็นว่าเนยคู่ควรกับเขามากที่สุด”
“ดีแล้วลูก ไปเข้านอนเถอะ”